พบผลลัพธ์ทั้งหมด 621 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9781/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการกระทำความผิด พยายามฆ่า: ประเมินความรุนแรงของอาวุธและเจตนา
จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์จักรยานยนต์มีพวกของจำเลยซ้อนท้ายมายังบริเวณที่เกิดเหตุแล้วรอรับพาพวกของจำเลยหลบหนีโดยจำเลยจอดรถรอห่างประมาณ7ถึง8วาแม้แต่เมื่อผู้เสียหายที่1กอดปล้ำกับพวกของจำเลยจำเลยก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างไรอีกทั้งวันเกิดเหตุเป็นวันสงกรานต์ที่เกิดเหตุเป็นร้านค้าและไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายทั้งสามมาก่อนพยานโจทก์เพียงเท่านี้จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยร่วมยิงกับพวกของจำเลยฟังได้เพียงว่าจำเลยให้ความสะดวกในการที่พวกของจำเลยมากระทำความผิดจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด การที่พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มชาวบ้านซึ่งมีผู้เสียหายทั้งสามรวมอยู่ด้วยโดยยิงในระยะใกล้แต่กระสุนปืนที่ถูกที่หน้าอกผู้เสียหายที่1จำนวน3ลูกได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผล0.4เซนติเมตรผู้เสียหายที่2ถูกกระสุนปืนที่ต้นขาซ้าย1ลูกและผู้เสียหายที่3ถูกกระสุนปืนที่ต้นขาซ้าย1ลูกแพทย์ผู้รักษาผู้เสียหายทั้งสามให้การในชั้นสอบสวนว่าผู้เสียหายที่1ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดแต่เนื่องจากกระสุนปืนกระจายออกและไม่ถูกอวัยวะสำคัญโดยกระสุนปืนไปฝังอยู่บริเวณชั้นกล้ามเนื้อถ้าหากไม่ได้รับการรักษาในทันทีก็ยังไม่ถึงกับเสียชีวิตได้การที่ยิงในระยะใกล้แต่กระสุนปืนฝังแค่ชั้นกล้ามเนื้อแสดงว่าอาวุธปืนที่พวกของจำเลยยิงไม่มีประสิทธิภาพไม่สามารถทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้อันถือได้ว่าการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นของพวกของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา81วรรคหนึ่งจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288ประกอบมาตรา81วรรคหนึ่งมาตรา86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9781/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการกระทำผิดฐานพยายามฆ่า: การให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิดและการประเมินประสิทธิภาพอาวุธ
จำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ มีพวกของจำเลยซ้อนท้ายมายังบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วรอรับพาพวกของจำเลยหลบหนี โดยจำเลยจอดรถรอห่างประมาณ 7 ถึง 8 วา แม้แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 กอดปล้ำกับพวกของจำเลย จำเลยก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างไร อีกทั้งวันเกิดเหตุเป็นวันสงกรานต์ที่เกิดเหตุเป็นร้านค้าและไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายทั้งสามมาก่อน พยานโจทก์เพียงเท่านี้จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยร่วมยิงกับพวกของจำเลยฟังได้เพียงว่าจำเลยให้ความสะดวกในการที่พวกของจำเลยมากระทำความผิดจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
การที่พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มชาวบ้าน ซึ่งมีผู้เสียหายทั้งสามรวมอยู่ด้วย โดยยิงในระยะใกล้ แต่กระสุนปืนที่ถูกที่หน้าอกผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 3 ลูก ได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผล 0.4 เซนติเมตรผู้เสียหายที่ 2 ถูกกระสุนปืนที่ต้นขาซ้าย 1 ลูก และผู้เสียหายที่ 3 ถูกกระสุนปืนที่ต้นขาซ้าย 1 ลูก แพทย์ผู้รักษาผู้เสียหายทั้งสามให้การในชั้นสอบสวนว่าผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด แต่เนื่องจากกระสุนปืนกระจายออก และไม่ถูกอวัยวะสำคัญโดยกระสุนปืนไปฝังอยู่บริเวณชั้นกล้ามเนื้อ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาในทันทีก็ยังไม่ถึงกับเสียชีวิตได้ การที่ยิงในระยะใกล้แต่กระสุนปืนฝังแค่ชั้นกล้ามเนื้อแสดงว่าอาวุธปืนที่พวกของจำเลยยิงไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้ อันถือได้ว่าการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นของพวกของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ ตาม ป.อ.มาตรา 81 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง มาตรา 86
การที่พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มชาวบ้าน ซึ่งมีผู้เสียหายทั้งสามรวมอยู่ด้วย โดยยิงในระยะใกล้ แต่กระสุนปืนที่ถูกที่หน้าอกผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 3 ลูก ได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผล 0.4 เซนติเมตรผู้เสียหายที่ 2 ถูกกระสุนปืนที่ต้นขาซ้าย 1 ลูก และผู้เสียหายที่ 3 ถูกกระสุนปืนที่ต้นขาซ้าย 1 ลูก แพทย์ผู้รักษาผู้เสียหายทั้งสามให้การในชั้นสอบสวนว่าผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด แต่เนื่องจากกระสุนปืนกระจายออก และไม่ถูกอวัยวะสำคัญโดยกระสุนปืนไปฝังอยู่บริเวณชั้นกล้ามเนื้อ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาในทันทีก็ยังไม่ถึงกับเสียชีวิตได้ การที่ยิงในระยะใกล้แต่กระสุนปืนฝังแค่ชั้นกล้ามเนื้อแสดงว่าอาวุธปืนที่พวกของจำเลยยิงไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้ อันถือได้ว่าการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นของพวกของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ ตาม ป.อ.มาตรา 81 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง มาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4312/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่า: การปิดกั้นความช่วยเหลือเหยื่อถือเป็นการสนับสนุนความผิดฐานฆ่า
ก่อนที่จำเลยที่ 1 กับพวกจะยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2ขึ้นไปปิดประตูบ้านไม่ยอมให้ภรรยาผู้ตายเอามีดพร้าไปให้ผู้ตาย เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่คนร้ายจะฆ่าผู้ตายโดยไม่มีผู้ใดไปช่วยผู้ตายหรือไปขัดขวางไม่ให้คนร้ายฆ่าผู้ตาย เป็นการสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าผู้ตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จและเจ้าพนักงาน เนื่องจากไม่มีฐานะเป็นข้าราชการ และข้อเท็จจริงไม่ตรงตามฟ้อง
ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2532 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2532 โจทก์ไม่ใช่ผู้เช่าแผงค้าตลาดมีนบุรีของสำนักงานตลาด กรุงเทพมหานคร แต่โจทก์ยังคงวางสินค้าที่แผงค้าตลาดมีนบุรีที่เคยเช่า และแผงค้าอื่นที่ไม่เคยเช่า รวมทั้งทางเดินในตลาดมีนบุรีด้วย จึงทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเมื่อการเช่าสิ้นสุดลงแล้ว แต่โจทก์ยังวางสินค้าอยู่ และจำเลยที่ 2 แจ้งให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมโจทก์จึงเป็นผู้บุกรุกและได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ข้อความที่จำเลยที่ 3 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงกับสภาพที่จำเลยที่ 2 ไปพบเห็นมา จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 แจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยที่ 3 แจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย หลังจากจำเลยที่ 3 ได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีแก่โจทก์ แม้ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยที่ 3 แจ้งนั้นเป็นความเท็จ เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 3 ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 แจ้งนั้นเป็นความจริงจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นผู้พบการกระทำความผิดของโจทก์ในข้อหาบุกรุกและได้ยื่นเรื่องราวต่อจำเลยที่ 1ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นตัวการ แต่เป็นเพียงผู้สนับสนุน เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานแจ้งความเท็จด้วย
จำเลยทั้งสามเป็นพนักงานของสำนักงานตลาด กรุงเทพ-มหานคร ซึ่งตามระเบียบกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสำนักงานตลาด กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2527 ข้อ 4 และข้อ 6 กำหนดให้ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณรายจ่ายของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานครตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2529 จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณหมวดเงินเดือนของกรุงเทพมหานครถือไม่ได้ว่ามีฐานะเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ.การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งป.อ.ภาค 2 ว่าด้วยความผิดลักษณะ 2 ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง หมวด 2ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
การที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคห้าได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสมฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่กล่าวในฟ้องจริง เพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไปเท่านั้น ทั้งจะต้องมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างตัวบทกฎหมายผิดเป็นคนละฉบับไปด้วยเมื่อในคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502 มาตรา 11 ได้
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นผู้พบการกระทำความผิดของโจทก์ในข้อหาบุกรุกและได้ยื่นเรื่องราวต่อจำเลยที่ 1ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นตัวการ แต่เป็นเพียงผู้สนับสนุน เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานแจ้งความเท็จด้วย
จำเลยทั้งสามเป็นพนักงานของสำนักงานตลาด กรุงเทพ-มหานคร ซึ่งตามระเบียบกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสำนักงานตลาด กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2527 ข้อ 4 และข้อ 6 กำหนดให้ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณรายจ่ายของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานครตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2529 จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณหมวดเงินเดือนของกรุงเทพมหานครถือไม่ได้ว่ามีฐานะเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ.การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งป.อ.ภาค 2 ว่าด้วยความผิดลักษณะ 2 ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง หมวด 2ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
การที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคห้าได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสมฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่กล่าวในฟ้องจริง เพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไปเท่านั้น ทั้งจะต้องมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างตัวบทกฎหมายผิดเป็นคนละฉบับไปด้วยเมื่อในคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502 มาตรา 11 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ-เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ: ข้อเท็จจริงไม่สนับสนุนความผิด, จำเลยไม่เป็นข้าราชการ
ตั้งแต่วันที่23มีนาคม2532ถึงวันที่6ตุลาคม2532โจทก์ไม่ใช่ผู้เช่าแผงค้าตลาดมีนบุรีของสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครแต่โจทก์ยังคงวางสินค้าที่แผงค้าตลาดมีนบุรีที่เคยเช่าและแผงค้าอื่นที่ไม่เคยเช่ารวมทั้งทางเดินในตลาดมีนบุรีด้วยจึงทำให้จำเลยที่1เข้าใจว่าเมื่อการเช่าสิ้นสุดลงแล้วแต่โจทก์ยังวางสินค้าอยู่และจำเลยที่2แจ้งให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมโจทก์จึงเป็นผู้บุกรุกและได้มอบอำนาจให้จำเลยที่3ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนข้อความที่จำเลยที่3ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงกับสภาพที่จำเลยที่2ไปพบเห็นมาจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่3แจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยที่3แจ้งหรือไม่ไม่สำคัญเพราะการแจ้งข้อความย่อมหลายถึงแจ้งข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมายหลังจากจำเลยที่3ได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนแล้วพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีแก่โจทก์แม้ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยที่3แจ้งนั้นเป็นความเท็จเมื่อข้อความที่จำเลยที3ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่1แจ้งนั้นเป็นความจริงจำเลยที่1ที่3จึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่2ว่าจำเลยที่2อ้างว่าเป็นผู้พบการกระทำความผิดของโจทก์ในข้อหาบุกรุกและได้ยื่นเรื่องราวต่อจำเลยที่1ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่2จึงมิใช่ให้ลงโทษจำเลยที่2ฐานเป็นตัวการแต่เป็นเพียงผู้สนับสนุนเมื่อจำเลยที่1และที่3ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จจำเลยที่2ก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานแจ้งความเท็จด้วย จำเลยทั้งสามเป็นพนักงานของสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครซึ่งตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสำนักงานตราดกรุงเทพมหานครพ.ศ.2527ข้อ4และข้อ6กำหนดให้ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณรายจ่ายของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานครตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องวิธีการงบประมาณพ.ศ.2529จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณหมวดเงินเดือนของกรุงเทพมหานครถือไม่ได้ว่ามีฐานะเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายอาญาภาค2ว่าด้วยความผิดลักษณะ2ความผิดเกี่ยวกับการปกครองหมวด2ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคห้าได้นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสมฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่กล่าวในฟ้องจริงเพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไปเท่านั้นทั้งจะต้องมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างตัวบทกฎหมายผิดเป็นคนละฉบับไปด้วยเมื่อในคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1ที่2และที่3ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157ตามที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502มาตรา11ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5433/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น: จำเลยให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิดหลบหนี ไม่พบเจตนาสมคบคิด
คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ววิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยจอดรออยู่หลบหนีไปด้วยกันโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้ร่วมสมคบกับคนร้ายวางแผนและตระเตรียมมาฆ่าผู้ตายจุดที่จำเลยจอดรถจักรยานยนต์อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ200เมตรไม่สามารถมองเห็นที่เกิดเหตุเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะคอยดูต้นทางให้คนร้ายทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ร่วมกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันพึงถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำผิดการกระทำของจำเลยเป็นเพียงการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนร้ายหลบหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้นจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5433/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วม vs ผู้สนับสนุน: การช่วยเหลือหลบหนีหลังก่อเหตุ ไม่ถึงขั้นร่วมวางแผนฆ่า
คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ววิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยจอดรออยู่หลบหนีไปด้วยกัน โจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้เห็นว่า จำเลยได้ร่วมสมคบกับคนร้ายวางแผนและตระเตรียมมาฆ่าผู้ตาย จุดที่จำเลยจอดรถจักรยานยนต์อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร ไม่สามารถมองเห็นที่เกิดเหตุ เป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะคอยดูต้นทางให้คนร้าย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ร่วมกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันพึงถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กัน จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำผิด การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนร้ายหลบหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีค้ามนุษย์และค้าประเวณี: ศาลแก้โทษจำคุกจำเลยที่ 2-3 ลดหย่อนตามเหตุบรรเทาโทษ และยกฟ้องจำเลยอื่น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2และที่3ฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา283แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่2และที่3เป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมเองอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282ศาลก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยที่2และที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282ได้ เมื่อความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282และฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503มาตรา8เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทย่อมต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90 การที่จำเลยที่2ยึดถือหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินของพวกผู้เสียหายไว้เป็นไปโดยความยินยอมของพวกผู้เสียหายตามข้อตกลงแล้วการกระทำของจำเลยที่2และที่3จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา188แม้ความผิดข้อหานี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาแต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่2และที่3ไม่เป็นความผิดแล้วศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบด้วยมาตรา215และมาตรา225 จำเลยที่1เพียงขับรถพาหญิงซึ่งสมัครใจค้าประเวณีไปส่งตามที่จำเลยที่2มอบหมายการที่จำเลยที่1รับเงินค่าหญิงบริการจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมาก็ต้องนำไปมอบให้แก่จำเลยที่2เป็นการรับไว้แทนจำเลยที่2การกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่2ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503มาตรา8ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าประเวณี การสนับสนุนความผิด และการกระทำโดยความยินยอม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวงตาม ป.อ.มาตรา 283 แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมเอง อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 ศาลก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3ตาม ป.อ. มาตรา 282 ได้
เมื่อความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอม ตาม ป.อ. มาตรา 282 และฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระ ตาม พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503มาตรา 8 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ย่อมต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 282 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
การที่จำเลยที่ 2 ยึดถือหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินของพวกผู้เสียหายไว้ เป็นไปโดยความยินยอมของพวกผู้เสียหายตามข้อตกลงแล้วการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188แม้ความผิดข้อหานี้ต้องห้ามมิให้ฎีกา แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
จำเลยที่ 1 เพียงขับรถพาหญิงซึ่งสมัครใจค้าประเวณีไปส่งตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมาย การที่จำเลยที่ 1 รับเงินค่าหญิงบริการจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมาก็ต้องนำไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการรับไว้แทนจำเลยที่ 2การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 282 และ พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 8 ประกอบกับ ป.อ. มาตรา 86
เมื่อความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอม ตาม ป.อ. มาตรา 282 และฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระ ตาม พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503มาตรา 8 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ย่อมต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 282 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
การที่จำเลยที่ 2 ยึดถือหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินของพวกผู้เสียหายไว้ เป็นไปโดยความยินยอมของพวกผู้เสียหายตามข้อตกลงแล้วการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188แม้ความผิดข้อหานี้ต้องห้ามมิให้ฎีกา แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
จำเลยที่ 1 เพียงขับรถพาหญิงซึ่งสมัครใจค้าประเวณีไปส่งตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมาย การที่จำเลยที่ 1 รับเงินค่าหญิงบริการจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมาก็ต้องนำไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการรับไว้แทนจำเลยที่ 2การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 282 และ พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 8 ประกอบกับ ป.อ. มาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6591/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดในฐานะเจ้าพนักงาน vs. ผู้สนับสนุน และขอบเขตการรับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาข้อแรกตามฟ้องข้อ ก. นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการตามฟ้องโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้มาก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การที่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานปากใดมานำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามมาตรา 162 แล้ว จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง ซึ่งได้วินิจฉัยเป็นยุติสำหรับจำเลยที่ 1 ไว้แล้วเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นเช่นกัน ส่วนความผิดตามฟ้องข้อ ข. ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 มาด้วยนั้น ปรากฏว่าความผิดข้อหานี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.14 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างหรือการเบิกจ่ายพัสดุและเอกสารหมาย จ.41 ที่พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะใช้ยันจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ได้หรือไม่ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองซึ่งได้วินิจฉัยเป็นยุติสำหรับจำเลยที่ 1 ไว้ เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้มา เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษอย่างเจ้าพนักงานซึ่งกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่นั้น จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างประจำของกรมชลประทานโจทก์ร่วม ซึ่งมิใช่ข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งหรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ซึ่งกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะให้ถือเป็นเจ้าพนักงาน จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา151,157 เป็นบทบัญญัติที่ลงโทษแก่บุคคลผู้กระทำผิดที่เป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่เท่านั้น แม้จำเลยที่ 2จะร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดต่อบทบัญญัติดังกล่าวก็จะลงโทษจำเลยที่ 2 อย่างเจ้าพนักงานไม่ได้ คงลงโทษจำเลยที่ 2ได้แต่เพียงในฐานะผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86เท่านั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225