พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,272 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6474/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำฉุดผู้เสียหายลงน้ำแล้วกดศีรษะ ไม่ถึงเจตนาฆ่า พิจารณาจากสภาพแม่น้ำและระดับน้ำ
ภาพถ่ายสภาพแม่น้ำที่จำเลยฉุดผู้เสียหายลงไปในแม่น้ำแล้วใช้มือกดศีรษะผู้เสียหายลงไปในน้ำ จนกระทั่งผู้เสียหายหลุดมือ กระแสน้ำพัดพาผู้เสียหายไปนั้นสภาพเป็นแม่น้ำไม่กว้างและพื้นเป็นทางค่อย ๆ ลาดลงไป ไม่ลึกชัน บริเวณที่เกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าเป็นจุดใด ห่างจากฝั่งกี่เมตร แม้พนักงานสอบสวนจะบันทึกว่า ขณะเกิดเหตุน้ำในแม่น้ำมีมากลึกท่วมศีรษะของผู้เสียหาย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นส่วนไหนที่ลึกท่วมศีรษะอาจเป็นบริเวณช่วงกลางแม่น้ำก็ได้ ทั้งภาพถ่ายที่อ้างถึงก็ไม่ปรากฏว่าถ่ายหลังเกิดเหตุนานประมาณเท่าใด แต่ตามภาพถ่ายเห็นได้ว่าเป็นลำน้ำที่ตื้นเขินเป็นส่วนใหญ่ประกอบกับขณะเกิดเหตุหากจำเลยยืนกดศีรษะของผู้เสียหายได้แสดงว่าระดับน้ำน่าจะมีความสูงไม่ถึงศีรษะจำเลยและผู้เสียหาย ดังนั้นจากสภาพที่เกิดเหตุขณะนั้น จำเลยไม่อาจเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำของจำเลยอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6431/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์และการกระทำความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์, บุกรุกเคหสถาน, และการใช้ไฟฟ้าทำร้ายผู้อื่น
จำเลยใช้สายไฟที่ตัดจากสายพัดลมต่อปลั๊กไฟในบ้านจี้ไปที่บริเวณหัวไหล่และต้นแขนขวาของผู้เสียหาย แล้วจำเลยวิ่งไปสับคัตเอาท์ที่ด้านหลังบ้านโดยไม่หลบหนีไปทันทีแต่กลับมาพูดขู่ผู้เสียหาย ซึ่งหากจำเลยประสงค์จะเอาชีวิตของผู้เสียหายก็ย่อมกระทำได้เพราะมีเวลามากพอ การที่จำเลยกลับมาพูดขู่ผู้เสียหายแทนที่จะหลบหนีไปแสดงให้เห็นว่าการไปสับคัตเอาท์ดับไฟนั้นไม่ใช่เพราะเกรงว่าผู้เสียหายจะจำหน้าได้หรือเพื่อป้องกันการติดตาม จำเลยจึงมีเจตนากระทำเพียงเพื่อให้ผู้เสียหายสลบไปและไม่อาจคาดหมายได้ว่าการกระทำเช่นนั้นอาจมีผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365ประกอบด้วยมาตรา 362 แต่คดีได้ความว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนอันเป็นความผิดตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตรา 364 มาในคำขอท้ายฟ้องแต่โจทก์ได้บรรยายถึงการบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนมาในฟ้องแล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลชอบที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 ที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
ปลั๊กไฟพร้อมสายไฟ 1 เส้น ของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ เป็นทรัพย์สินในบ้านเช่าที่ผู้เสียหายพักอาศัย เมื่อเจ้าของไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365ประกอบด้วยมาตรา 362 แต่คดีได้ความว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนอันเป็นความผิดตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตรา 364 มาในคำขอท้ายฟ้องแต่โจทก์ได้บรรยายถึงการบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนมาในฟ้องแล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลชอบที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 ที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
ปลั๊กไฟพร้อมสายไฟ 1 เส้น ของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ เป็นทรัพย์สินในบ้านเช่าที่ผู้เสียหายพักอาศัย เมื่อเจ้าของไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5687/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า การปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า และการจำหน่ายสินค้าปลอม โดยศาลฎีกาได้พิจารณาแก้ไขโทษและยกฟ้องบางข้อหา
ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2542 ซึ่งมาตรา 3 ให้ยกเลิก พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 กับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับที่ 2 พ.ศ. 2496 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2508 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2520 และฉบับที่ 5พ.ศ. 2530 เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 หลังวันที่พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ใช้บังคับแล้ว 1 ปีเศษ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเก็บไว้เพื่อจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไม่น่ากลัวอันตราย มีปริมาณเกินกว่า 10,000 ลิตร ไว้ในสถานที่เก็บน้ำมันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474ซึ่งถูกยกเลิกไปก่อนแล้ว โดยมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ที่บัญญัติขึ้นใช้ในภายหลัง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็รับฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยในระหว่างเวลาที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ยังมีผลใช้บังคับอยู่นั้นยังคงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ต้องถือว่าจำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ส่วนการกระทำของจำเลยนับแต่วันที่ พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 บัญญัติขึ้นใช้ภายหลังและยกเลิก พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 แล้ว โจทก์ยังบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดและขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ซึ่งถูกยกเลิกไป จึงมีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยระหว่างวันเวลาดังกล่าวเป็นความผิดจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 26ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ต้องยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงให้ผู้ซื้อสินค้าเข้าใจผิดว่าสินค้าที่จำเลยผลิตขึ้นนั้นเป็นของบริษัท ส. และบริษัท ฮ. ผู้เสียหาย โดยใช้ป้ายโฆษณาที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดที่สินค้า อันเป็นการใช้ฉลากซึ่งมีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายในการขายสินค้าเพื่อลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกันในความผิดฐานเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม กับฐานใช้ฉลากในการขายสินค้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณของสินค้าดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงให้ผู้ซื้อสินค้าเข้าใจผิดว่าสินค้าที่จำเลยผลิตขึ้นนั้นเป็นของบริษัท ส. และบริษัท ฮ. ผู้เสียหาย โดยใช้ป้ายโฆษณาที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดที่สินค้า อันเป็นการใช้ฉลากซึ่งมีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายในการขายสินค้าเพื่อลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกันในความผิดฐานเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม กับฐานใช้ฉลากในการขายสินค้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณของสินค้าดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5554/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากเด็กเรียกค่าไถ่: ศาลฎีกาแก้ไขเป็นกรรมเดียว โทษตาม ม.313 วรรคแรก
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 6 ปีเศษไปจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งสองมุ่งประสงค์เรียกค่าไถ่เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่ความผิดหลายกรรมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พิจารณาจากอารมณ์ชั่ววูบและเหตุปัจจัยครอบครัว
จำเลยคิดถึงผู้ตายซึ่งเป็นบุตรจึงไปรับผู้ตายจาก อ. ภริยา ขณะที่จำเลยกับผู้ตายนอนเล่นอยู่ในห้องเกิดเหตุ จำเลยโกรธและเสียใจเรื่องที่ อ. ภริยาไปมีชายอื่นจึงได้คิดฆ่าตัวตายพร้อมผู้ตาย โดยนำยาฆ่าแมลงที่ซื้อเก็บไว้สำหรับใช้ฆ่าแมลงไม้ประดับที่ปลูกมาผสมนมให้ผู้ตายดื่มและจำเลยได้ดื่มด้วย แสดงว่าเหตุที่จำเลยคิดฆ่าตนเองและผู้ตายมาจากเหตุการณ์อันเนื่องจากปัญหาครอบครัว ซึ่งคิดขึ้นมาในขณะนั้นด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบที่จำเลยไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ จึงได้นำยาฆ่าแมลงที่มีอยู่แล้วในบ้านไปผสมนมให้ผู้ตายดื่ม กรณีจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4737/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและมีไว้ในครอบครองซากสัตว์ป่า: การพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำว่า "ล่า" ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ มาตรา 4 หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ฉะนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับ Scleractinia และ Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมหมายถึงปะการังนั้นไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ โจทก์หาต้องบรรยายถ้อยคำดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอีกไม่ส่วนรายละเอียดที่บรรยายฟ้องต่อมาถึงวิธีการล่าโดยการเก็บ หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใดก็น่าจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีคำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกันการที่จำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จเมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ส่วนการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าดังกล่าวแยกต่างหากจากการเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ความผิดทั้งสองฐานนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกันการที่จำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จเมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ส่วนการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าดังกล่าวแยกต่างหากจากการเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ความผิดทั้งสองฐานนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4366/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาใช้เอกสารปลอม - ละเมิดอำนาจศาล - ชาวบ้านลงชื่อโดยไม่รู้เห็น
หลังจากผู้ถูกกล่าวหาได้รับการชักชวนจาก ส. ให้นำหลักทรัพย์ที่เป็นโฉนดที่ดินไปใช้ขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ศาลแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้ไปขอออกหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อนำไปใช้ในเรื่องการกู้ยืมเงินจากธนาคาร แต่เอกสารทั้งหมดผู้ถูกกล่าวหาได้มอบให้ ส. ไป แม้จะปรากฏว่าในครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหารายใดได้ ก็ไม่ปรากฏสาเหตุที่แน่ชัดว่าเนื่องมาจากหลักทรัพย์ของตนมีราคาต่ำเกินไปหรือไม่ อันอาจทำให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนรู้เห็นในการใช้หนังสือรับรองราคาประเมินปลอมในการขอให้ปล่อยชั่วคราวในครั้งต่อไป แต่กลับปรากฏว่าในการขอให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยครั้งเกิดเหตุนี้ มีชายคนหนึ่งเขียนรายละเอียดในเอกสารที่เป็นแบบพิมพ์และให้ผู้ถูกกล่าวหาลงชื่อในคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวและบัญชีทรัพย์ ผู้ถูกกล่าวหามีอาชีพทำนา อายุ 57 ปี เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาอาจจะไม่ได้ตรวจดูเอกสารให้ถี่ถ้วนก็ได้ จึงน่าเชื่อว่าก่อนมีการยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวได้มีคนบอกให้ผู้ถูกกล่าวหาลงชื่อจริง ซึ่งการลงชื่อของผู้ถูกกล่าวหาก็คงหวังเพียงผลประโยชน์ตอบแทนในการที่นำหลักทรัพย์ของตนมาใช้ขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย โดยผู้ถูกกล่าวหาไม่ทราบว่าหนังสือรับรองราคาประเมินเป็นเอกสารปลอมการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงขาดเจตนาในการใช้หนังสือรับรองราคาประเมินปลอมยื่นต่อศาลชั้นต้น จึงไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพาตัวผู้เสียหายไปกระทำชำเราเข้าข่ายความผิดฐานพาไปเพื่อการอนาจาร แม้สถานที่เกิดเหตุใกล้เคียงกัน
จำเลยมีเจตนาจะกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงตัดสินใจเข้าฉุดตัวผู้เสียหายจากทางเดินเข้าไปในป่าข้างทางบริเวณที่เกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายทันที แม้การที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจะเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายด้วย และการกระทำของจำเลยดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายที่ต่อเนื่องกัน ก็ตาม แต่การที่จำเลยฉุดตัวผู้เสียหายจากทางเดินเข้าไปในป่าข้างทางที่เกิดเหตุ เป็นการแสดงเจตนาส่วนหนึ่งของจำเลย โดยมีเหตุจูงใจที่จะนำตัวผู้เสียหายไปกระทำชำเราอันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่สำเร็จไปแล้วต่างหากจากการที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายดังนั้น ถึงแม้ป่าบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยฉุดผู้เสียหายเข้าไปกระทำชำเราจะอยู่ไม่ไกลจากทางเดินที่ผู้เสียหายเดินอยู่ก่อนมากนัก ก็ถือได้ว่าจำเลยได้พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรกแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4200/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเก็บรองเท้าแตะที่ตกหล่นหลังวิวาท ไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เหตุไม่มีเจตนาทุจริต
รองเท้าแตะของโจทก์ร่วมตกอยู่ที่บริเวณประตูบ้านของจำเลยก็เพราะโจทก์ร่วมทำหลุดไว้ เนื่องจากเหตุวิวาทชกต่อยกันระหว่างจำเลยกับ ส. จำเลยจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วเก็บรองเท้าแตะของโจทก์ร่วมและนำไปมอบให้พนักงานสอบสวนแสดงว่าจำเลยมิได้เอารองเท้าแตะของโจทก์ร่วมไปเป็นของตนหรือผู้อื่นในลักษณะที่เป็นการประทุษร้ายต่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของโจทก์ร่วม แม้จำเลยจะไม่มีสิทธิเก็บเอารองเท้าแตะของโจทก์ร่วมไว้ก็ตาม ก็มิใช่เหตุที่จะถือว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวและขัดขวางเจ้าพนักงาน: ความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
การที่จำเลยทั้งสองนำคนต่างด้าวสัญชาติลาว 20 คน โดยสารรถยนต์จากจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยรู้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนต่างด้าวและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 64 วรรคหนึ่ง แล้ว
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับรถหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจและพุ่งชนรถของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำเพื่อหลบหนีการจับกุมดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวกัน
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับรถหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจและพุ่งชนรถของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำเพื่อหลบหนีการจับกุมดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวกัน