พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,272 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7101/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวกลางล่อซื้อ ย่อมไม่มีเจตนาจำหน่ายเฮโรอีน จึงไม่มีความผิด
ในการเจรจาติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนของกลางตามที่เจ้าพนักงาน-ตำรวจสืบทราบว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนนั้น จ่าสิบตำรวจ ส.กับพวกได้ให้สายลับซึ่งรู้จักจำเลยที่ 1 พาไปพบจำเลยที่ 1 ให้ช่วยเจรจาในการล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 2 โดยจะให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,000 บาทจำเลยที่ 1 จึงดำเนินการตามที่จ่าสิบตำรวจ ส.กับพวกขอร้อง จนกระทั่งมีการนัดหมายส่งมอบเฮโรอีนในวันเกิดเหตุ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการให้น่าเชื่อว่าเกิดจากจำเลยที่ 1 หวังผลตอบแทน จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเพียงคนกลางในการช่วยติดต่อเจรจาเพื่อล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 2 เพื่อให้การจับจำเลยที่ 2 บรรลุผลเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 รับเฮโรอีนจากจำเลยที่ 2 ก็นำมามอบให้จ่าสิบตำรวจ ส.ทันที จึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองและจำหน่ายเฮโรอีน ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7101/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยหวังผลตอบแทน ไม่ถือเป็นเจตนาจำหน่ายยาเสพติด ผู้ถูกว่าจ้างเป็นเพียงคนกลาง
ในการเจรจาติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนของกลางตามที่เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่าจำเลยที่2มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนนั้นจ่าสิบตำรวจส. กับพวกได้ให้สายลับซึ่งรู้จักจำเลยที่1พาไปพบจำเลยที่1ให้ช่วยเจรจาในการล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่2โดยจะให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่1เป็นเงิน2,000บาทจำเลยที่1จึงดำเนินการตามที่จ่าสิบตำรวจส. กับพวกขอร้องจนกระทั่งมีการนัดหมายส่งมอบเฮโรอีนในวันเกิดเหตุดังนี้การที่จำเลยที่1ดำเนินการให้น่าเชื่อว่าเกิดจากจำเลยที่1หวังผลตอบแทนจึงฟังได้ว่าจำเลยที่1เป็นเพียงคนกลางในการช่วยติดต่อเจรจาเพื่อล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่2เพื่อให้การจับจำเลยที่2บรรลุผลเท่านั้นเมื่อจำเลยที่1รับเฮโรอีนจากจำเลยที่2ก็นำมามอบให้จ่าสิบตำรวจส.ทันทีจึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่1มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองและจำหน่ายเฮโรอีนถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1มีเจตนากระทำความผิดจำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6303/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทและการเข้าใจโดยสุจริต การบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
จำเลยทั้งสองเข้าไปปักเสาสร้างรั้วในที่พิพาทซึ่งฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสองยังโต้เถียงการครอบครองกันอยู่เป็นการเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก และต้นไผ่ ซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทเป็นไม้ยืนต้นแม้โจทก์จะเป็นผู้ปลูกก็เป็นส่วนควบของที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์ประธานเท่ากับโจทก์และจำเลยทั้งสองยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์ของต้นไผ่ด้วยการที่จำเลยที่2เข้าไปตัดฟันต้นไผ่ พฤติการณ์จึงมีเหตุอันสมควรให้จำเลยที่ 2 เข้าใจโดยสุจริตว่าต้นไผ่ดังกล่าวเป็นของตนเช่นกัน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5231/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการบุกรุก ต้องมีเจตนาถือครองหรือรบกวนการครอบครอง จึงจะมีความผิดฐานบุกรุก
จำเลยเข้าไปในสวนผักของโจทก์ร่วมโดยเจตนาที่จะสอบถามเรื่องราวที่อ. บุตรโจทก์ร่วมท้าชกแล้วจึงเกิดการวิวาทต่อสู้กันยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือเจตนาเพื่อกระทำการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5231/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุก: การเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นเพื่อสอบถามเรื่องราวไม่ใช่การบุกรุก
จำเลยเข้าไปในสวนผักของโจทก์ร่วมโดยเจตนาที่จะสอบถามเรื่องราวที่ อ.บุตรโจทก์ร่วมท้าชก แล้วจึงเกิดการวิวาทต่อสู้กัน ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือเจตนาเพื่อกระทำการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 362
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากอาวุธบาดแผลและสถานการณ์
จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อนแต่ไม่รุนแรงมากถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหายแม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดปลายแหลมคมมีดยาวประมาณ7นิ้วแต่จำเลยแทงไม่แรงและบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่มืดจำเลยไม่สามารถเลือกแทงได้จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากอาวุธ, บาดแผล และสถานการณ์
จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อนแต่ไม่รุนแรงมากถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหายแม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดปลายแหลมคมมีดยาวประมาณ7นิ้วแต่จำเลยแทงไม่แรงและบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่มือจำเลยไม่สามารถเลือกแทงได้จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผล, อาวุธ, และสถานการณ์
จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อน แต่ไม่รุนแรงมากถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหาย แม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดปลายแหลมคมมีดยาวประมาณ 7 นิ้ว แต่จำเลยแทงไม่แรงและบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่มือ จำเลยไม่สามารถเลือกแทงได้ จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากอาวุธและสภาพแวดล้อม
จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อน แต่ไม่รุนแรงมากถึงกับคิดจะฆ่าผู้เสียหาย แม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดปลายแหลมคมมีดยาวประมาณ 7 นิ้ว แต่จำเลยแทงไม่แรงและบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่มืด จำเลยไม่สามารถเลือกแทงได้ จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหวงห้าม: ความผิดฐานบุกรุกและปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่ราชการ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่ดินพิพาทให้แก่กองทัพเรือตั้งแต่พ.ศ.2465และต่อมาได้มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับใช้ในราชการทหารพร้อมด้วยแผนที่ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ประชาชนทราบแล้วทั้งต่อมากรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุโดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอีกถือว่าประชาชนทุกคนทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครองเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แม้มีการแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทก็ตามแต่แบบแจ้งการครอบครองส.ค.1มิใช่คำอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมอ้างไม่ได้ว่าผู้เข้าไปยึดถือครอบครองในที่ดินไม่มีเจตนาเข้าไปในที่ดินพิพาทจำเลยซื้อที่ดินพิพาทภายหลังที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้วถือว่าจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นที่หวงห้ามเมื่อเข้าไปยึดถือครอบครองย่อมมีความผิดจะอ้างว่ามีแบบแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทตามเอกสารส.ค.1มายกเว้นความผิดโดยอ้างว่าไม่มีเจตนากระทำผิดไม่ได้ การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทก็เพื่อยึดถือครอบครองและปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท