พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,272 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางวาจา: การพิจารณาเจตนาและความหมายของคำพูดตามบริบท
ข้อความที่จำเลยกล่าวว่า"สำหรับอ.นั้นขอให้พิจารณาเป็นพิเศษด้วยเดินหากินจุ้นจ้านที่ศาลเพราะสำนักงานร้างไปแล้ว"คำว่า"จุ้นจ้าน"เป็นคำกริยาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2525มีความหมาย2นัยนัยแรกคือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสถานที่หรือนัยที่สองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวจนน่าเกลียดเมื่อพิจารณาทั้งประโยคที่ว่า"เดินหากินจุ้นจ้านที่ศาล"จึงน่าจะมีความตามความนัยแรกคือโจทก์เข้าไปเดินหากินยุ่งเกี่ยวในศาลในลักษณะพลุกพล่านยุ่มย่ามจนน่าเกลียดเพราะสำนักงานร้างไปแล้วเมื่อได้ความว่าจำเลยได้ติดต่อให้โจทก์เป็นทนายความที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชและจำเลยเอาเงินค่าจ้างว่าความส่วนหนึ่งไปให้โจทก์ที่บ้านโดยไม่ได้ความชัดว่าโจทก์มีสำนักงานทนายความแยกจากบ้านที่พักอาศัยหรือไม่ส่วนจำเลยไม่เคยติดต่อโจทก์ที่สำนักงานทนายความของโจทก์ดังนั้นการที่จำเลยกล่าวว่าโจทก์ไปเดินหากินจุ้นจ้านที่ศาลเพราะสำนักงานร้างไปแล้วจึงเป็นการกล่าวไปตามความเข้าใจของจำเลยว่าโจทก์ไม่มีสำนักงานเป็นหลักแหล่งต้องใช้ศาลเป็นที่ทำมาหากินมิได้มีความหมายไปในทางที่ว่าโจทก์เป็นทนายความที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรืออาศัยวิชาชีพหลอกลวงฉ้อโกงจำเลยหรือประชาชนจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใส่ความโจทก์ให้เสียหายหรือถูกดูหมิ่นเกลียดชังคำกล่าวดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท: การกล่าวถึงสำนักงานทนายความและเจตนาใส่ความ
ข้อความที่จำเลยกล่าวว่า "สำหรับ อ.นั้น ขอให้พิจารณาเป็นพิเศษด้วย เดินหากินจุ้นจ้านที่ศาล เพราะสำนักงานร้างไปแล้ว" คำว่า "จุ้นจ้าน"เป็นคำกริยาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 มีความหมาย 2 นัยนัยแรกคือ เข้าไปยุ่งเกี่ยวในสถานที่หรือนัยที่สองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวจนน่าเกลียด เมื่อพิจารณาทั้งประโยคที่ว่า "เดินหากินจุ้นจ้านที่ศาล"จึงน่าจะมีความตามความนัยแรกคือ โจทก์เข้าไปเดินหากินยุ่งเกี่ยวในศาลในลักษณะพลุกพล่าน ยุ่มย่าม จนน่าเกลียด เพราะสำนักงานร้างไปแล้ว เมื่อได้ความว่าจำเลยได้ติดต่อให้โจทก์เป็นทนายความที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช และจำเลยเอาเงินค่าจ้างว่าความส่วนหนึ่งไปให้โจทก์ที่บ้าน โดยไม่ได้ความชัดว่า โจทก์มีสำนักงานทนายความ แยกจากบ้านที่พักอาศัยหรือไม่ ส่วนจำเลยไม่เคยติดต่อโจทก์ที่สำนักงานทนายความของโจทก์ ดังนั้นการที่จำเลยกล่าวว่าโจทก์ไปเดินหากินจุ้นจ้านที่ศาล เพราะสำนักงานร้างไปแล้ว จึงเป็นการกล่าวไปตามความเข้าใจของจำเลยว่าโจทก์ไม่มีสำนักงานเป็นหลักแหล่งต้องใช้ศาลเป็นที่ทำมาหากิน มิได้มีความหมายไปในทางที่ว่า โจทก์เป็นทนายความที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรืออาศัยวิชาชีพหลอกลวงฉ้อโกงจำเลยหรือประชาชน จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาใส่ความโจทก์ให้เสียหายหรือถูกดูหมิ่น เกลียดชัง คำกล่าวดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแจ้งความเท็จ - ความเชื่อโดยสุจริต - พยานหลักฐานสนับสนุน - ยกฟ้อง
โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่2และที่5รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยที่1มิได้ชื่อ ป. และมิได้เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีชื่อ ป. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดทั้งโฉนดที่ดินดังกล่าวมิได้สูญหายไปแล้วยังแจ้งข้อความเท็จดังกล่าวให้ ฉ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่รับเรื่องราวคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดินจดลงไว้ในบันทึกถ้อยคำในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแทน ป. จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2และที่5เจตนาแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา267
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9339/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาแก้โทษจากยักยอกเป็นฉ้อโกง ประเด็นอายุความ และอำนาจศาลในการปรับบท
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้และจำเลยก็อุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วยในชั้นอุทธรณ์จึงมิใช่มีอุทธรณ์แต่ในปัญหาข้อกฎหมายดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงไม่ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแตกต่างกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นย่อมไม่ขัดต่อบทบัญญัติของมาตรา194แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จำเลยได้ติดต่อให้โจทก์ร่วมทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทท. แบบระยะเวลาเอาประกันภัย21ปีในวงเงินเอาประกันภัย100,000บาทผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวโดยไม่ต้องจ่ายเป็นรายปีและได้รับส่วนลดเป็นพิเศษโจทก์ร่วมตกลงทำสัญญาประกันชีวิตต่อบริษัทท. กับจำเลยโดยโจทก์ร่วมทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง1กรมธรรม์และทำสัญญาประกันชีวิตให้ม. อีก1กรมธรรม์โจทก์ร่วมได้ชำระเงินเบี้ยประกันภัยทั้ง2กรมธรรม์ให้แก่จำเลยไปแล้วทั้งหมดรวมเป็นเงิน179,500บาทแต่ปรากฏว่าบริษัทท. ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยของโจทก์ร่วมและม. เป็นเงินเพียง10,584บาทและ8,659บาทตามลำดับซึ่งเป็นการชำระเบี้ยประกันภัยแบบเอาประกันภัยในระยะเวลาเพียง1ปีและโจทก์ร่วมกับม. จะต้องชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปีปีละครั้งแสดงว่าโจทก์ร่วมส่งมอบเงินให้จำเลยไปโดยหลงเชื่อว่าจำเลยจะจัดให้โจทก์ร่วมและม. ทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทท. แบบชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวโดยมีระยะเวลาเอาประกันภัย21ปีแต่จำเลยไม่ได้จัดให้มีการทำสัญญาประกันชีวิตในแบบดังกล่าวกลับนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ร่วมและจำเลยเป็นผู้ออกเงินทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยให้โจทก์ร่วมและม. ด้วยพฤติการณ์ของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ร่วมจำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องคดีนี้แม้ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสาม เมื่อโจทก์ร่วมรู้ว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ดังกล่าวจึงทักท้วงต่อจำเลยจำเลยได้ขอเวลาแก้ไขให้ภายใน1เดือนในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ร่วมย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่เพราะการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตอาจมีข้อบกพร่องผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนาก็เป็นได้ต่อเมื่อโจทก์ร่วมพบกับจำเลยอีกครั้งในวันที่24กันยายน2534และจำเลยได้ปฏิเสธว่าโจทก์ร่วมและม. ไม่ได้ทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยและจำเลยไม่ได้รับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากบุคคลทั้งสองนับแต่วันนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์ร่วมรู้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเมื่อโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่9ธันวาคม2534คดีของโจทก์ร่วมจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9339/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฉ้อโกงและการขาดอายุความในคดีฉ้อโกง การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาและการพิพากษา
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้ และจำเลยก็อุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วย ในชั้นอุทธรณ์จึงมิใช่มีอุทธรณ์แต่ในปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแตกต่างกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ย่อมไม่ขัดต่อบทบัญญัติของมาตรา 194 แห่ง ป.วิ.อ.
จำเลยได้ติดต่อให้โจทก์ร่วมทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท ท.แบบระยะเวลาเอาประกันภัย 21 ปี ในวงเงินเอาประกันภัย 100,000 บาทผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวโดยไม่ต้องจ่ายเป็นรายปี และได้รับส่วนลดเป็นพิเศษ โจทก์ร่วมตกลงทำสัญญาประกันชีวิตต่อบริษัท ท.กับจำเลย โดยโจทก์ร่วมทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง 1 กรมธรรม์ และทำสัญญาประกันชีวิตให้ ม.อีก 1 กรมธรรม์ โจทก์ร่วมได้ชำระเงินเบี้ยประกันภัยทั้ง 2 กรมธรรม์ ให้แก่จำเลยไปแล้วทั้งหมดรวมเป็นเงิน 179,500 บาท แต่ปรากฏว่าบริษัท ท.ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยของโจทก์ร่วมและ ม.เป็นเงินเพียง 10,584 บาท และ 8,659 บาทตามลำดับ ซึ่งเป็นการชำระเบี้ยประกันภัยแบบเอาประกันภัยในระยะเวลาเพียง 1 ปีและโจทก์ร่วมกับ ม.จะต้องชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี ปีละครั้ง แสดงว่าโจทก์ร่วมส่งมอบเงินให้จำเลยไปโดยหลงเชื่อว่าจำเลยจะจัดให้โจทก์ร่วมและม.ทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท ท.แบบชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวโดยมีระยะเวลาเอาประกันภัย 21 ปี แต่จำเลยไม่ได้จัดให้มีการทำสัญญาประกันชีวิตในแบบดังกล่าว กลับนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ร่วม และจำเลยเป็นผู้ออกเงินทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยให้โจทก์ร่วมและ ม.ด้วยพฤติการณ์ของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ร่วม จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง คดีนี้แม้ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192วรรคสาม
เมื่อโจทก์ร่วมรู้ว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ดังกล่าว จึงทักท้วงต่อจำเลย จำเลยได้ขอเวลาแก้ไขให้ภายใน1 เดือน ในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ร่วมย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เพราะการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตอาจมีข้อบกพร่องผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนาก็เป็นได้ ต่อเมื่อโจทก์ร่วมพบกับจำเลยอีกครั้งในวันที่24 กันยายน 2534 และจำเลยได้ปฏิเสธว่า โจทก์ร่วมและ ม.ไม่ได้ทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยและจำเลยไม่ได้รับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากบุคคลทั้งสองนับแต่วันนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์ร่วมรู้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด เมื่อโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 9 ธันวาคม 2534 คดีของโจทก์ร่วมจึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยได้ติดต่อให้โจทก์ร่วมทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท ท.แบบระยะเวลาเอาประกันภัย 21 ปี ในวงเงินเอาประกันภัย 100,000 บาทผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวโดยไม่ต้องจ่ายเป็นรายปี และได้รับส่วนลดเป็นพิเศษ โจทก์ร่วมตกลงทำสัญญาประกันชีวิตต่อบริษัท ท.กับจำเลย โดยโจทก์ร่วมทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง 1 กรมธรรม์ และทำสัญญาประกันชีวิตให้ ม.อีก 1 กรมธรรม์ โจทก์ร่วมได้ชำระเงินเบี้ยประกันภัยทั้ง 2 กรมธรรม์ ให้แก่จำเลยไปแล้วทั้งหมดรวมเป็นเงิน 179,500 บาท แต่ปรากฏว่าบริษัท ท.ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยของโจทก์ร่วมและ ม.เป็นเงินเพียง 10,584 บาท และ 8,659 บาทตามลำดับ ซึ่งเป็นการชำระเบี้ยประกันภัยแบบเอาประกันภัยในระยะเวลาเพียง 1 ปีและโจทก์ร่วมกับ ม.จะต้องชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี ปีละครั้ง แสดงว่าโจทก์ร่วมส่งมอบเงินให้จำเลยไปโดยหลงเชื่อว่าจำเลยจะจัดให้โจทก์ร่วมและม.ทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท ท.แบบชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียวโดยมีระยะเวลาเอาประกันภัย 21 ปี แต่จำเลยไม่ได้จัดให้มีการทำสัญญาประกันชีวิตในแบบดังกล่าว กลับนำสืบปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ร่วม และจำเลยเป็นผู้ออกเงินทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยให้โจทก์ร่วมและ ม.ด้วยพฤติการณ์ของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ร่วม จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง คดีนี้แม้ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192วรรคสาม
เมื่อโจทก์ร่วมรู้ว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ดังกล่าว จึงทักท้วงต่อจำเลย จำเลยได้ขอเวลาแก้ไขให้ภายใน1 เดือน ในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ร่วมย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เพราะการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตอาจมีข้อบกพร่องผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนาก็เป็นได้ ต่อเมื่อโจทก์ร่วมพบกับจำเลยอีกครั้งในวันที่24 กันยายน 2534 และจำเลยได้ปฏิเสธว่า โจทก์ร่วมและ ม.ไม่ได้ทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยและจำเลยไม่ได้รับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากบุคคลทั้งสองนับแต่วันนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์ร่วมรู้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด เมื่อโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 9 ธันวาคม 2534 คดีของโจทก์ร่วมจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8733/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำทำให้เสียทรัพย์: เล็งเห็นผลน้ำท่วมห้อง
โจทก์ร่วมกับจำเลยพักอาศัยอยู่ในตึกแถวซึ่งอยู่ติดต่อกัน โจทก์ร่วมอยู่ชั้นล่าง จำเลยอยู่ชั้นที่สาม เดิมใช้น้ำประปาร่วมกัน ภายหลังโกรธเคืองกัน โจทก์ร่วมจึงไปขอใช้น้ำประปาเอง วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมให้ช่างประปามาตัดท่อน้ำประปาที่ส่งน้ำจากตึกแถวจำเลยไปยังห้องของโจทก์ร่วมตรงบริเวณใกล้กับวาล์วเปิดปิดน้ำที่จะส่งไปยังห้องของโจทก์ร่วมออกไป เมื่อฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้เปิดวาล์วเปิดปิดน้ำดังกล่าว และระหว่างตึกแถวของโจทก์ร่วมและจำเลยมีเพียงไม้อัดกั้น ประกอบกับคำพูดของจำเลยที่ว่าจะเปิดวาล์วเปิดปิดน้ำให้แม่มันอยู่กันไม่ได้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าจะทำให้น้ำไหลเข้าไปท่วมห้องของโจทก์ร่วมและทรัพย์สินของโจทก์ร่วมเสียหายได้จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8733/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จากการเปิดวาล์วน้ำทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
โจทก์ร่วมกับจำเลยพักอาศัยอยู่ในตึกแถวซึ่งอยู่ติดต่อกันโจทก์ร่วมอยู่ชั้นล่าง จำเลยอยู่ชั้นที่สาม เติมใช้น้ำประปาร่วมกัน ภายหลังโกรธเคืองกัน โจทก์ร่วมจึงไปขอใช้น้ำประปาเองวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมให้ช่างประปามาตัดท่อน้ำประปาที่ส่งน้ำจากตึกแถวจำเลยไปยังห้องของโจทก์ร่วมตรงบริเวณใกล้กับวาล์วเปิดปิดน้ำที่จะส่งไปยังห้องของโจทก์ร่วมออกไปเมื่อฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้เปิดวาล์วเปิดปิดน้ำดังกล่าวและระหว่างตึกแถวของโจทก์ร่วมและจำเลยมีเพียงไม้อัดกั้นประกอบกับคำพูดของจำเลยที่ว่าจะเปิดวาล์วเปิดปิดน้ำให้แม่นันอยู่กันไม่ได้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าจะทำให้น้ำไหลเข้าไปท่วมห้องของโจทก์ร่วมและทรัพย์สินของโจทก์ร่วมเสียหายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย แม้ไม่มีเจตนาฆ่า ก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องโต้เถียงกับจำเลยที่6ต่อมาจำเลยที่6กับพวกรวมทั้งจำเลยที่5วิ่งไล่ทำร้ายผู้เสียหายและเข้าทำร้ายผู้ตายโดยเข้าใจว่าเป็นพวกผู้เสียหายการเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเช่นนี้มิใช่ต่างคนมาพบและทำร้ายผู้ตายโดยลำพังแต่มีเจตนาวิ่งไล่ตามทำร้ายผู้เสียหายมาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้วและเมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกันย่อมฟังว่าจำเลยทุกคนมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการร่วมกันทำร้ายนั้นแม้การกระทำของจำเลยที่5จะไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ก็ตามจำเลยที่5ก็ย่อมต้องได้รับผลจากการตายของผู้ตายนั้นด้วยจำเลยที่5มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายแต่การร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่5จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเข้าร่วมทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ถือมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายมีเรื่องโต้เถียงกับจำเลยที่ 6 ต่อมาจำเลยที่ 6 กับพวกรวมทั้งจำเลยที่ 5 วิ่งไล่ทำร้ายผู้เสียหายและเข้าทำร้ายผู้ตายโดยเข้าใจว่าเป็นพวกผู้เสียหาย การเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเช่นนี้ มิใช่ต่างคนมาพบและทำร้ายผู้ตายโดยลำพัง แต่มีเจตนาวิ่งไล่ตามทำร้ายผู้เสียหายมาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้วและเมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกัน ย่อมฟังว่าจำเลยทุกคนมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการร่วมกันทำร้ายนั้น แม้การกระทำของจำเลยที่ 5 จะไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ก็ตาม จำเลยที่ 5ก็ย่อมต้องได้รับผลจากการตายของผู้ตายนั้นด้วย จำเลยที่ 5 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายแต่การร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 5 จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4808/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการป้องกันตัว: การรับสารภาพและข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นสู่การพิจารณา
ภายหลังจากจำเลยชกต่อยผู้ตายล้มลงที่พื้นแล้ว จำเลยเข้าไปกระทืบที่ศีรษะและตามลำตัวผู้ตายอย่างรุนแรงและใช้มีดปาดคอผู้ตายด้วย เป็นเหตุให้ผู้ตายมีบาดแผลตามร่างกายหลายแห่งที่สำคัญคือ ม้ามซึ่งอยู่บริเวณช่องท้องแตกมีเลือดตกในช่องท้อง 1,700 ซี.ซี. และผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทืบผู้ตายที่บริเวณท้องซึ่งเป็นที่ตั้งอวัยวะสำคัญของร่างกายอย่างรุนแรง อีกทั้งขณะทำร้ายจำเลยก็พูดแสดงเจตนาว่าจะทำร้ายผู้ตายให้ตาย ในชั้นสอบสวนจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า
จำเลยฎีกาว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวตาม ป.อ. มาตรา 68 การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายนั้น คดีนี้จำเลยรับสารภาพและไม่ได้สืบพยานข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
จำเลยฎีกาว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวตาม ป.อ. มาตรา 68 การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายนั้น คดีนี้จำเลยรับสารภาพและไม่ได้สืบพยานข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายถืออาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225