พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,272 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2980/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองและป้องกันผู้อื่นจากการถูกทำร้าย: การกระทำที่สมควรแก่เหตุและไม่มีเจตนาฆ่า
ก. กับพวกเป็นฝ่ายก่อเรื่องไล่ทำร้ายจำเลยที่ 1และที่ 2โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้สมัครใจวิวาทด้วย จำเลยที่ 2 ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 ในขณะที่ ก. ขึ้นคร่อมจำเลยที่ 1 จะใช้มีดคัตเตอร์แทงจำเลยที่ 1 และมีเพื่อนก. ร้องบอกเอาให้ตาย จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงที่หลัง ก.เพียง 1 ที แล้วชักมีดวิ่งหนีไป แสดงว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เลือกแทงที่สำคัญเพียงแต่แทงเท่าที่โอกาสอำนวยไม่มีเจตนาฆ่า ก. และจำเลยที่ 2 กระทำเพื่อป้องกันมิให้ก. แทงจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
จำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับ ก. แต่ถูก ก. กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือด้วยการแทง ก. อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.
จำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับ ก. แต่ถูก ก. กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือด้วยการแทง ก. อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2980/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำเพื่อปกป้องตนเองและผู้อื่นจากอันตรายที่ใกล้จะถึง
ก. กับพวกเป็นฝ่ายก่อเรื่องไล่ทำร้ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้สมัครใจวิวาทด้วย จำเลยที่ 2 ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 ในขณะที่ ก. ขึ้นคร่อมจำเลยที่ 1 จะใช้มีดคัตเตอร์แทงจำเลยที่ 1 และมีเพื่อนก. ร้องบอกเอาให้ตาย จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงที่หลัง ก.เพียง 1 ที แล้วชักมีดวิ่งหนีไป แสดงว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เลือกแทงที่สำคัญเพียงแต่แทงเท่าที่โอกาสอำนวยไม่มีเจตนาฆ่า ก. และจำเลยที่ 2 กระทำเพื่อป้องกันมิให้ก. แทงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
จำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับ ก. แต่ถูก ก. กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือด้วยการแทง ก. อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.
จำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับ ก. แต่ถูก ก. กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือด้วยการแทง ก. อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2961/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: การประเมินจากพฤติการณ์และสภาพผู้เสียหาย
ผู้เสียหายเป็นอัมพาตไม่สามารถช่วยตัวเองได้และจำเลยมีโอกาสใช้ขวดเบียร์แตกเป็นปากฉลามเป็นอาวุธเลือกแทงอวัยวะสำคัญที่อาจทำให้ผู้เสียหายถึงตายได้ แต่จำเลยกลับแทงไปที่ใบหน้าผู้เสียหายถูกจมูกแหว่งหายไปครึ่งซีก ทั้งจำเลยก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองที่จะฆ่าผู้เสียหาย แต่จำเลยกระทำไปเพราะความมึนเมา จำเลยจึงมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้นหาได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2944/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายร่างกายด้วยขวดแตก ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงเจตนาจากบาดแผลและตำแหน่งที่ถูกแทง
จำเลยสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกับพวกผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้ขวดแตกแทงผู้เสียหายโดยแรง ที่บริเวณเอวซึ่งภายในประกอบด้วยอวัยวะสำคัญของร่างกาย ทำให้เกิดบาดแผลที่เอวซ้ายลึก 8เซนติเมตร และ 5 เซนติเมตรทะลุผ่านกล้ามเนื้อภายใน ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2944/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายร่างกายด้วยขวดแตก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีเจตนาฆ่า แม้ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย
จำเลยสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกับพวกผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้ขวดแตกแทงผู้เสียหายโดยแรง ที่บริเวณเอวซึ่งภายในประกอบด้วยอวัยวะสำคัญของร่างกาย ทำให้เกิดบาดแผลที่เอวซ้ายลึก 8 เซนติเมตร และ 5 เซนติเมตรทะลุผ่านกล้ามเนื้อภายใน ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าในคดีทำร้ายร่างกาย: พิจารณาจากสถานการณ์และลักษณะการกระทำ
จำเลยกับผู้เสียหายสนิทสนมกันมานานเพราะต่างเป็นใบ้และหูหนวก วันเกิดเหตุจำเลยดื่มเบียร์จนเวียนศีรษะแล้วใช้มีดพกชนิดพับได้ ใบมีดยาวประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดเล็กแทงผู้เสียหายแม้จะแทงหลายที ที่หน้าอก ชายโครงและหน้าท้อง แต่ก็น่าจะไม่มีเจตนาเลือกแทงเพราะขณะนั้นจำเลยและผู้เสียหายกำลังกอดปล้ำกันอยู่ และรูปคดีเชื่อว่าหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยย่อมจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้โดยง่าย เพราะไม่มีใครรู้เห็นและห้ามปราม ทั้งผู้เสียหายก็ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้เพราะเป็นใบ้ ผู้เสียหายลุกขึ้นมาได้ทันทีหลังจากถูกแทง ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าในคดีทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาจากพฤติการณ์และสภาพแวดล้อมของเหตุการณ์
จำเลยกับผู้เสียหายสนิทสนมกันมานานเพราะต่างเป็นใบ้และหูหนวก วันเกิดเหตุจำเลยดื่มเบียร์จนเวียนศีรษะแล้วใช้มีดพกชนิดพับได้ ใบมีดยาวประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดเล็กแทงผู้เสียหายแม้จะแทงหลายที ที่หน้าอก ชายโครงและหน้าท้อง แต่ก็น่าจะไม่มีเจตนาเลือกแทงเพราะขณะนั้นจำเลยและผู้เสียหายกำลังกอดปล้ำกันอยู่ และรูปคดีเชื่อว่าหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยย่อมจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้โดยง่าย เพราะไม่มีใครรู้เห็นและห้ามปราม ทั้งผู้เสียหายก็ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้เพราะเป็นใบ้ ผู้เสียหายลุกขึ้นมาได้ทันทีหลังจากถูกแทง ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับทางอาญาสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.แร่: ลงโทษปรับเรียงรายบุคคล แม้เป็นนิติบุคคลและกรรมการผู้จัดการ
ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 148 ซึ่งต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าถึงห้าเท่าของมูลค่าแร่ ตามราคาที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ มิได้มีข้อจำกัดว่า ถ้ามีผู้ร่วมกันกระทำผิดหลายคนแล้ว ให้ปรับรวมกันตามมูลค่าของแร่ เมื่อพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงนำประมวลกฎหมายอาญามาใช้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 17 ต้องลงโทษปรับจำเลยเรียงตามรายตัวบุคคล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 31
นิติบุคคลอาจต้องรับผิดในทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของนิติบุคคลนั้นได้ หากการกระทำนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ และนิติบุคคลได้รับประโยชน์อันเกิดจากการกระทำนั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทน ลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้การกระทำผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดฐานมีแร่ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มิได้โต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดได้โดยไม่จำต้องสอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลยก่อน.
นิติบุคคลอาจต้องรับผิดในทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของนิติบุคคลนั้นได้ หากการกระทำนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ และนิติบุคคลได้รับประโยชน์อันเกิดจากการกระทำนั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทน ลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้การกระทำผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดฐานมีแร่ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มิได้โต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดได้โดยไม่จำต้องสอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลยก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับนิติบุคคลและกรรมการผู้จัดการในความผิดตาม พ.ร.บ.แร่ โดยแยกปรับตามรายตัวบุคคล
ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 148ซึ่งต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าถึงห้าเท่าของมูลค่าแร่ตามราคาที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่มิได้มีข้อจำกัดว่า ถ้ามีผู้ร่วมกันกระทำผิดหลายคนแล้ว ให้ปรับรวมกันตามมูลค่าของแร่ เมื่อพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงนำประมวลกฎหมายอาญามาใช้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 17 ต้องลงโทษปรับจำเลยเรียงตามรายตัวบุคคล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 31
นิติบุคคลอาจต้องรับผิดในทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของนิติบุคคลนั้นได้ หากการกระทำนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ และนิติบุคคลได้รับประโยชน์อันเกิดจากการกระทำนั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทน ลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้การกระทำผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1ด้วย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดฐานมีแร่ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มิได้โต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดได้โดยไม่จำต้องสอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลยก่อน.
นิติบุคคลอาจต้องรับผิดในทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของนิติบุคคลนั้นได้ หากการกระทำนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ และนิติบุคคลได้รับประโยชน์อันเกิดจากการกระทำนั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทน ลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้การกระทำผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1ด้วย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดฐานมีแร่ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มิได้โต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดได้โดยไม่จำต้องสอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลยก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: จำเลยเจตนาทำร้ายหรือไม่สมคบร่วมกันฆ่า
จำเลยพูดต่อว่าและให้ผู้ตายซึ่งติดเฮโรอีนออกไปจากบ้านแล้วเกิดโต้เถียงกัน ขณะนั้นมีนาย ถ. คนรู้จักกันอยู่ที่บ้านจำเลยด้วย ตอนจะออกไปผู้ตายพูดว่า 'ทีใครทีมัน อย่าไปถิ่นกูก็แล้วกัน' จำเลยโมโหจึงตามผู้ตายไป มีนาย ถ.ตามไปด้วย ครั้นวิ่งไล่เข้าไปในกระต๊อบของนาง ป. จำเลยใช้ไม้ขนาดเท่าหัวแม่มือ ยาวประมาณ 1 ศอก ตีศีรษะผู้ตาย 1 ทีบาดแผลฉีก กะโหลกศีรษะไม่มีรอยแตกร้าว นาย ถ. แทงผู้ตาย 1 ทีถูกที่ตับเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เมื่อนาง ป. ร้องให้คนช่วยจำเลยกับนาย ถ. วิ่งหนีไปทางเดียวกัน ไม่ปรากฏว่าการโต้เถียงมีความรุนแรงถึงกับทำให้จำเลยโกรธแค้นเพียงใดไม่ได้ความว่าจำเลยวางแผนหรือชักชวนหรือบอกให้นาย ถ. ไปร่วมฆ่าผู้ตาย เป็นเรื่องนาย ถ. ตามไปเอง ไม้ที่จำเลยใช้ตีไม่ใหญ่โตถึงขนาดใช้ตีให้เกิดแผลฉกรรจ์ถึงตายได้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยสมคบร่วมกันกับพวกฆ่าผู้ตายโดยเจตนากรณีเป็นเรื่องต่างคนต่างทำ จำเลยคงต้องรับผิดจากผลเฉพาะที่ตนกระทำจึงเป็นเพียงทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเท่านั้น.