คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 3

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 498 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8712/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับใช้กฎหมายลงโทษคนละฉบับ กรณีมีวัตถุออกฤทธิ์ในครอบครองและไม่มีประกาศให้เป็นยาเสพติด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคีตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครอง ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ ต้องรับโทษตามมาตรา 106 ทวิ โดยไม่ปรากฏว่ามีประกาศกำหนดให้คีตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ อันจะมีผลให้การมีคีตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 67 และไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ อีกต่อไป จึงลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 67 ไม่ได้ กรณีนี้มิได้เป็นเรื่องกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดตามบทบัญญัติใน ป.อ. มาตรา 3 แต่เป็นกรณีบังคับใช้กฎหมายลงโทษจำเลยคนละฉบับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7354/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกันจากยาเสพติดและอาวุธปืน, การปรับบทกฎหมายยาเสพติด, และอำนาจศาลแก้ไขโทษจำเลยร่วม
เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากบ้านของจำเลยที่ 1 เป็นคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายให้แก่สายลับและสามารถแยกเจตนาออกจากกันได้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ส่วนความผิดฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นร่วมกันเสพกัญชา ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 22 และมาตรา 27 ยกเลิกความในมาตรา 76 และมาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ความใหม่แทน โดยศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษแก่จำเลยที่ 1 ตามมาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ มานั้นยังไม่ถูกต้อง เนื่องจากบทความผิดและบทกำหนดโทษจำคุกตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่กับกฎหมายเดิมไม่แตกต่างกัน จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ต้องใช้กฎหมายในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยที่ 1 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้แก้ไขให้ถูกต้อง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดที่จำเลยที่ 1 สนับสนุน เหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้ไขตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4053/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กฎหมายยาเสพติดที่แก้ไขใหม่กับคดีที่กระทำผิดก่อนการแก้ไข กฎหมายที่ใช้ต้องเป็นคุณแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 3,000,000 บาท เป็นการแก้เฉพาะโทษ ซึ่งเป็นกรณีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนมาก และจำเลยให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ขอให้ลงโทษประหารชีวิต เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
ขณะจำเลยกระทำความผิด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตตามมาตรา 66 วรรคสอง (เดิม) ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นมี พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 5 และมาตรา 66 และให้ใช้ข้อความใหม่ซึ่งแตกต่างจากเดิมโดยมีผลให้การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 15 วรรคสาม (2) (ที่แก้ไขใหม่) และต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท ถึง 5,000,000 บาท หรือประหารชีวิต ตามมาตรา 66 วรรคสาม (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งระวางโทษหนักกว่าระวางโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง (เดิม) เนื่องจากมีระวางโทษปรับเพิ่มมาด้วย กรณีจึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยกระทำความผิดที่เป็นคุณแก่จำเลยบังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 การที่ศาลล่างทั้งสองใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว แม้คู่ความจะไม่ฎีกาในปัญหานี้และศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เพราะต้องห้ามตามกฎหมายก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย: ศาลฎีกาวินิจฉัยการเรียงกระทง
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เป็นคุณและใช้บังคับแก่จำเลยคดีนั้น เป็นบทบัญญัติซึ่งให้ลงโทษผู้กระทำความผิดได้ทั้งความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้งฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงรับฟังได้ตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ศาลฎีกาย่อมไม่อาจกำหนดโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงฐานใดฐานหนึ่งดังที่จำเลยฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8775/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนและฆ่าเพื่อปกปิดความผิด ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำคุกเป็นงดการฝึกอบรมบางส่วน
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายในขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ข่มขืนกระทำชำเราแล้วจำเลยกลัวความผิดจึงนำผู้ตายไปซ่อนในท่อน้ำ การที่จำเลยนำผู้ตายไปซุกซ่อนไว้ในท่อน้ำซึ่งอยู่ห่างไปจากที่เกิดเหตุจนผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะสำลักน้ำโคลน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดของตน อันเป็นความผิดสองกรรม
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ไม่อาจนำเอาโทษจำคุก 4 ปี ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งศาลชั้นต้นได้เปลี่ยนโทษจำคุกดังกล่าวเป็นให้ส่งไปฝึกและอบรมแล้ว มารวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดของตน โดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษในความผิดฐานดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้
ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยได้ถูกควบคุมตัวและฝึกอบรมตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อคิดหักระยะเวลาการควบคุมตัวและฝึกอบรมของจำเลยดังกล่าวแล้ว คงเหลือระยะเวลาที่จะต้องฝึกและอบรมอีกระยะหนึ่งถึงจะครบกำหนดระยะเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว การที่จะให้จำเลยเข้ารับการฝึกและอบรมต่อในระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น จึงไม่เหมาะสม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขกำหนดระยะเวลาฝึกและอบรมดังกล่าวเสียให้เหมาะสม โดยให้งดการฝึกและอบรมจำเลยในส่วนระยะเวลาที่เหลืออยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8079/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ใช้บังคับ ณ วันฟ้องคดี แม้มีการแก้ไขกฎหมายสารบัญญัติในภายหลัง
ขณะพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น กฎหมายที่โจทก์ฟ้องว่ากระทำความผิดมีโทษขั้นต่ำตั้งแต่ 5 ปี ศาลชั้นต้นจึงต้องสืบพยานโจทก์ประกอบจนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ในชั้นศาลอุทธรณ์กฎหมายได้แก้ไขใหม่เป็นจำคุกขั้นต่ำตั้งแต่ 4 ปี อันเป็นกรณีที่กฎหมายสารบัญญัติที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดซึ่ง ป.อ. มาตรา 3 บังคับให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด แต่ในส่วนกฎหมายวิธีสบัญญัติมิได้มีบทบังคับเช่นนั้นด้วย ดังนั้น จึงต้องนำกฎหมายวิธีสบัญญัติที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยถูกฟ้องมาบังคับใช้แก่การพิจารณาคดีของจำเลยตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนความไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาคดีในลำดับชั้นศาลใด เพื่อมิให้เกิดความลักลั่นในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีเดียวกัน ไม่ว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายในส่วนสารบัญญัติดังกล่าวในลำดับชั้นศาลใดก็ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาคดีของจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงยังคงต้องฟังพยานโจทก์จนพอใจว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7768/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุจริตจัดซื้อที่ดิน - ความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทรัพย์และแจ้งความเท็จ - ความผิดกรรมเดียว
แม้ขณะเกิดเหตุ ว. จะเข้ามาดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยาโดยการว่าจ้างตามความในมาตรา 50 ของ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2521 แต่ปลัดเมืองพัทยาก็มีฐานะเป็นพนักงานเมืองพัทยาตามความในมาตรา 64 และพนักงานเมืองพัทยามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. ตามความในมาตรา 66 ของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดคดีนี้ ดังนั้น หากขณะดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยา ว. ได้กระทำการใดผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และ ว. มิได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน ว. ก็ต้องรับผิดในทางอาญาในฐานะเจ้าพนักงานตามที่ ป.อ. มาตรา 2 และมาตรา 147 ถึงมาตรา 166 บัญญัติไว้ แม้จะปรากฏว่าภายหลังกระทำความผิดได้มี พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2542 มาตรา 3 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2521 และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งปลัดเมืองพัทยาแตกต่างจากกฎหมายเดิม แต่ความผิดที่ ว. ถูกกล่าวหาในคดีนี้มิได้มีการยกเลิกไปและก็มิได้เป็นเรื่องที่กฎหมายใหม่บัญญัติว่าการกระทำใดไม่เป็นความผิดหรือกำหนดโทษเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 จะอ้าง ป.อ. มาตรา 2 และมาตรา 3 มาเป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลยที่ 1 ได้
จำเลยที่ 3 กับพวกได้ร่วมกันใช้หรือจ้างวานให้นาย อ. กับ ส. ไปแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ให้จดทะเบียนทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 42827 ในราคา 1,200,000 บาท และจำเลยที่ 3 กับพวก ได้ร่วมกันใช้หรือจ้างวานให้ ย. กับ อ. ไปแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ให้จดทะเบียนทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 42958 ในราคา 1,400,000 บาท อันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วบุคคลทั้งสี่ดังกล่าวมิได้มีเจตนาซื้อขายที่ดินกันจริง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง หลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงดำเนินการจดทะเบียนทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวในเอกสารสัญญาซื้อขายที่ดิน และบันทึกในสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินดังกล่าวอันเป็นเอกสารมหาชนและเอกสารราชการ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เมืองพัทยา ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนและเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 267 ประกอบมาตรา 84
เมื่อ ว. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151 และเมื่อการกระทำของ ว. เป็นความผิดตามมาตรา 151 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดซื้อที่ดินของเมืองพัทยาด้วย จึงขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 151 แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิดดังกล่าวของ ว. จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทรัพย์ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตาม ป.อ. มาตรา 151 ประกอบด้วยมาตรา 86 อันเป็นความผิดบทเฉพาะและไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 ประกอบด้วยมาตรา 86 เป็นบททั่วไปเช่นเดียวกัน เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จึงไม่มีประโยชน์ที่จะต้องยกข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อ้างมาในฎีกาขึ้นวินิจฉัย
ความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 นั้น มีลักษณะเป็นการยุยงส่งเสริมก่อให้ ว. ปลัดเมืองพัทยากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทรัพย์ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอยู่ในตัว แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่า ในช่วงวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ให้สินบนหรือเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้ ว. ปลัดเมืองพัทยากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทรัพย์ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ได้เป็นตัวการร่วมกับ ว. กับพวกกระทำการทุจริตคอร์รัปชันในการจัดซื้อที่ดินสำหรับใช้เป็นที่ทิ้งขยะเมืองพัทยาอย่างเป็นขบวนการโดยมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำมาแต่ต้นจนกระทั่งความผิดสำเร็จ เพียงแต่จำเลยที่ 1 ขาดคุณสมบัติการเป็นเจ้าพนักงาน จึงรับโทษแค่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของ ว. กับพวกดังกล่าว ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะได้กระทำความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานหรือไม่ก็ตาม ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ย่อมเกลื่อนกลืนเป็นการกระทำความผิดในกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน (มีหน้าที่ซื้อทรัพย์) ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตแล้ว ศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานะเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน (มีหน้าที่ซื้อทรัพย์) ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ได้แต่เพียงบทเดียวเท่านั้น กรณีนี้ไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานอันเป็นบทเฉพาะเจาะจงแล้ว จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน (มีหน้าที่ซื้อทรัพย์) ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอีก
การกระทำของจำเลยที่ 3 ตามคำฟ้องข้อ (ข) (ง) และข้อ (ฉ) เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายต่างคนกันและเป็นเหตุการณ์คนละตอนกัน แม้จะอยู่ในแผนการทุจริตคอร์รัปชันเดียวกัน ก็มีการกระทำหลายอย่างและแต่ละอย่างเป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบททั้งฐานใช้ให้ผู้อื่นแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทรัพย์ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตตามคำฟ้องข้อ (ง) (ฉ) และ (ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7554/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กฎหมายยาเสพติดและอาวุธปืนที่แก้ไขใหม่ การลดโทษ และการริบของกลาง
ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย บทความผิดกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน จึงต้องใช้กฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ ส่วนบทกำหนดโทษกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่ากฎหมายเดิม เพราะมีโทษหลายสถานที่จะลงได้ จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับ ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยไม่ว่าในทางใด ตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และคำรับในชั้นจับกุมของจำเลยเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ แต่ศาลล่างทั้งสองลดโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้แก่จำเลยเพียงหนึ่งในสี่นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี โดยให้ลดโทษแก่จำเลยหนึ่งในสาม และให้มีผลถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในความผิดฐานนี้ แต่เมื่อมีเหตุบรรเทาโทษแก่จำเลย ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและลดโทษให้แก่จำเลยในความผิดดังกล่าวได้ สำหรับสมุดบัญชีรายชื่อ รายรับและรายจ่าย ใบรับฝากเงินของธนาคารต่าง ๆ ของกลาง เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่า ของกลางดังกล่าวเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และ ป.อ. มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6894/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติด: ศาลฎีกาแก้โทษจากตัวการเป็นผู้สนับสนุน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งรู้ว่าจะมีผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นของผิดกฎหมายมาแต่ต้นแล้ว จำเลยที่ 3 ยังบอกกล่าวแนะนำทำให้จำเลยที่ 2 ตกลงใจโทรศัพท์ติดต่อและร่วมดำเนินการกับผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจนมีการนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบให้แก่ ส. ยังที่เกิดเหตุ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าว อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในฐานเป็นตัวการ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานนี้ได้
แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสาม จึงต้องใช้กฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5355/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษอาญาตามกฎหมายใหม่และการใช้คำรับสารภาพประกอบพยานหลักฐาน
คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และเมื่อฟังพยานโจทก์จนพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องจริงก็พิพากษาลงโทษจำเลย เมื่อจำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ต้องวินิจฉัยตามข้ออ้างข้อเถียงในอุทธรณ์ของจำเลยว่ามีเหตุผลให้รับฟังหรือไม่ และเมื่อรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใดแล้ว หากปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีกฎหมายที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3 หามีกรณีต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งหากอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกไม่เกิน 5 ปี จะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพของจำเลยโดยไม่ต้องพิจารณาพยานโจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาไม่
of 50