คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 3

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 498 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3261/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกจากบทบัญญัติใหม่ที่บัญญัติถึงการรวมโทษที่เป็นคุณแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 แต่ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือนรวม 173 กระทง เป็นโทษจำคุก 576 ปี8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 บทเดียว ส่วนกำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ไขการรวมกระทงลงโทษโดยให้ลดโทษจำเลยลงเหลือเพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่อันเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างพิจารณาคดี และผลกระทบต่อการลงโทษจำคุกสูงสุดสำหรับความผิดหลายกระทง
จำเลยกระทำความผิดหลายกรรม คือฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กับมีโทษจำคุก 10 วันที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีก่อน เมื่อลดโทษแล้วศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกสองกระทงแรก 50 ปี และ 1 ปี 6 เดือน ตามลำดับ กับบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้รวมเป็นโทษจำคุก 50 ปี 6 เดือน 10 วัน แต่ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 ออกใช้บังคับเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด และเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 คดีนี้เมื่อเรียงกระทงลงโทษแล้ว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (3) ที่ได้แก้ไขใหม่ จะลงโทษจำคุกเกินกว่า 50 ปีไม่ได้ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นให้จำคุก 50 ปีและบวกโทษจำคุก 10 วันที่รอการลงโทษไว้ รวมเป็นโทษจำคุก 50 ปี 10 วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างการพิจารณาคดี และผลกระทบต่อการลงโทษจำคุกสำหรับความผิดหลายกรรม
จำเลยกระทำความผิดหลายกรรม คือฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กับมีโทษจำคุก 10 วันที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีก่อน เมื่อลดโทษแล้วศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกสองกระทงแรก 50 ปี และ 1 ปี 6 เดือน ตามลำดับกับบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้รวมเป็นโทษจำคุก 50 ปี 6 เดือน 10 วัน แต่ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 ออกใช้บังคับเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด และเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 คดีนี้เมื่อเรียงกระทงลงโทษแล้ว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ที่ได้แก้ไขใหม่ จะลงโทษจำคุกเกินกว่า 50 ปีไม่ได้ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นให้จำคุก 50 ปีและบวกโทษจำคุก 10 วันที่รอการลงโทษไว้ รวมเป็นโทษจำคุก 50 ปี 10 วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นมิใช่ส่วนราชการ ทำให้จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินงานไม่เป็นเจ้าพนักงาน จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
การแบ่งส่วนราชการภายในกรมนั้นต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เมื่อไม่เคยมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของกรมการปกครองให้โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นเป็นส่วนราชการของกรมการปกครอง คงมีแต่คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมอบอาคารโรงพิมพ์และอุปกรณ์ทั้งสิ้นแก่กรมการปกครอง โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นจึงหาเป็นส่วนราชการของกรมการปกครองไม่
ส่วนที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฯ บัญญัติความหมายของส่วนราชการให้รวมถึงสำนักงานหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐด้วยนั้นก็เพื่อประโยชน์ในการที่สำนักงบประมาณจะจัดทำและควบคุมงบประมาณแผ่นดินของส่วนราชการ แต่โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นไม่เคยเสนอประมาณการรายรับรายจ่ายต่อสำนักงบประมาณ ทั้งไม่เคยมีการตั้งงบประมาณแผ่นดินไว้ดำเนินกิจการของโรงพิมพ์โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นจึงไม่เป็นส่วนราชการของกรมการปกครองตามความหมายของพระราชบัญญัติดังกล่าว
เมื่อความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยนั้นในเบื้องต้นผู้กระทำความผิดจะต้องเป็นเจ้าพนักงานเสียก่อนและเมื่อได้ความว่าโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นไม่เป็นส่วนราชการของกรมการปกครองแล้ว จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินงานของโรงพิมพ์โดยตำแหน่งตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงไม่เป็นเจ้าพนักงาน ไม่อาจกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ได้
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว ปัญหาว่าโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นเป็นทรัพย์สินของกรมการปกครองหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย และที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในประเด็นอื่นที่ศาลอุทธรณ์มิได้นำมาเป็นเหตุยกฟ้องก็ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นมิใช่ส่วนราชการ การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าข่ายความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน
การแบ่งส่วนราชการภายในกรมนั้นต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อไม่เคยมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของกรมการปกครองให้โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นเป็นส่วนราชการของกรมการปกครอง คงมีแต่คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมอบอาคารโรงพิมพ์และอุปกรณ์ทั้งสิ้นแก่กรมการปกครอง โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นจึงหาเป็นส่วนราชการของกรมการปกครองไม่
ส่วนที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฯ บัญญัติความหมายของส่วนราชการให้รวมถึงสำนักงานหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐด้วยนั้น ก็เพื่อประโยชน์ในการที่สำนักงบประมาณจะจัดทำและควบคุมงบประมาณแผ่นดินของส่วนราชการ แต่โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นไม่เคยเสนอประมาณการรายรับรายจ่ายต่อสำนักงบประมาณ ทั้งไม่เคยมีการตั้งงบประมาณแผ่นดินไว้ดำเนินกิจการของโรงพิมพ์โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นจึงไม่เป็นส่วนราชการของกรมการปกครองตามความหมายของพระราชบัญญัติดังกล่าว
เมื่อความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยนั้นในเบื้องต้นผู้กระทำความผิดจะต้องเป็นเจ้าพนักงานเสียก่อนและเมื่อได้ความว่าโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นไม่เป็นส่วนราชการของกรมการปกครองแล้ว จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินงานของโรงพิมพ์โดยตำแหน่งตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงไม่เป็นเจ้าพนักงาน ไม่อาจกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ได้
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว ปัญหาว่าโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นเป็นทรัพย์สินของกรมการปกครองหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย และที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในประเด็นอื่นที่ศาลอุทธรณ์มิได้นำมาเป็นเหตุยกฟ้องก็ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนย้ายและครอบครองแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต การริบของกลาง และการใช้บทกฎหมายที่ถูกต้อง
ใช้รถยนต์ขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาตขนแร่และไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีแร่ไว้ในครอบครอง ศาลจึงต้องริบทั้งแร่และรถยนต์ของกลางขณะกระทำผิด พระราชบัญญัติ แร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 ยังมิได้ใช้บังคับ ศาลจะนำ มาตรา 18,21,27แห่ง พระราชบัญญัติ แร่(ฉบับที่ 3)พ.ศ.2522 ซึ่งไม่เป็นคุณแก่จำเลยมาปรับบทลงโทษจำเลยหาได้ไม่ต้องลงโทษจำเลยตามกฎหมายเก่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายจราจรและการใช้กฎหมายที่เป็นคุณต่อจำเลยในคดีประมาท
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกน้ำมันด้วยอัตราความเร็ว 40 - 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดไว้สำหรับรถบรรทุกน้ำมันสำหรับในเขตเทศบาล (กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2509 ข้อ 10 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477) แต่ต่อมาพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 และได้มีกฎหระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 6 พ.ศ. 2522 ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อ 1 ได้กำหนดความเร็วสำหรับรถไว้ สำหรับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัมหรือบรรทุกคนโดยสารให้ขับในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยาหรือเขตเทศบาลไม่เกินชั่วโมงละ 60 กิโลเมตร ฯลฯ และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ได้บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีจะถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การขับรถของจำเลยที่ 1 จึงไม่เร็วเกินกว่ากำหนดความเร็วตามกฎหมายใหม่ซึ่งบัญญัติไว้ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทอันจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายจราจรและการใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย กรณีความเร็วรถบรรทุก
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกน้ำมันด้วยอัตราความเร็ว 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดไว้สำหรับรถบรรทุกน้ำมันสำหรับในเขตเทศบาล (กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 6 พ.ศ.2509 ข้อ10 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477)แต่ต่อมาพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 3ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 และได้มีกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 6 พ.ศ.2522 ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อ 1 ได้กำหนดความเร็วสำหรับรถไว้สำหรับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัมหรือบรรทุกคนโดยสารให้ขับในเขตกรุงเทพมหานครเขตเมืองพัทยาหรือเขตเทศบาลไม่เกินชั่วโมงละ 60 กิโลเมตร ฯลฯ และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ได้บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีจะถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การขับรถของจำเลยที่ 1 จึงไม่เร็วเกินกว่ากำหนดความเร็วตามกฎหมายใหม่ซึ่งบัญญัติไว้ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทอันจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลังกระทำผิดและการบังคับใช้กฎหมายที่ให้คุณแก่จำเลย กรณีค้ากำไรเกินควร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 มาตรา 16 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อมาพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควรได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. 2522 โดยพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด มีบทบัญญัติมาตรา 30กำหนดหลักการไว้ใกล้เคียงกับมาตรา 16 ของพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร ดังนี้ เมื่อกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด โดยกฎหมายที่ใช้ภายหลังได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบแห่งความผิด และเปิดโอกาสให้จำเลย อ้างเหตุผลอันสมควรมาเป็นข้อแก้ตัวได้ จึงต้องถือว่ากฎหมายที่ใช้ภายหลังเป็นคุณแก่จำเลย และต้องนำมาบังคับใช้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลังกระทำผิด และผลกระทบต่อการลงโทษคดีค้ากำไรเกินควร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควรพ.ศ. 2490 มาตรา 16 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อมาพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควรได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. 2522 โดยพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด มีบทบัญญัติมาตรา 30กำหนดหลักการไว้ใกล้เคียงกับมาตรา 16 ของพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร ดังนี้ เมื่อกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด โดยกฎหมายที่ใช้ภายหลังได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบแห่งความผิด และเปิดโอกาสให้จำเลย อ้างเหตุผลอันสมควรมาเป็นข้อแก้ตัวได้ จึงต้องถือว่ากฎหมายที่ใช้ภายหลัง เป็นคุณแก่จำเลย และต้องนำมาบังคับใช้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
of 50