คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 425

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,014 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารจ่ายเช็คปลอมทำให้เสียหาย ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากธนาคารและดอกเบี้ย
ธนาคารจำเลยที่ 1 จ่ายเงินตามเช็คจำนวน 16 ฉบับ เป็นการจ่ายเงินฝากของโจทก์ส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งเป็นการจ่ายเงินตามข้อตกลงตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 ก็ได้นำจำนวนเงินตามเช็คพิพาทไปหักทอนบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 1ถูกต้องแล้ว และเมื่อโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับสัญญาบัญชีกระแสรายวันและแจ้งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3สมุห์บัญชีธนาคารจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนรายการเช็คพิพาทที่นำมาลงบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ถูกต้องออกเสีย แต่จำเลยที่ 1และที่ 3 ก็มิได้ปฏิบัติตามและยังคงถือว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 ตามรายการที่ลงในบัญชีกระแสรายวัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายและเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ผลการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจซึ่ง ส.ผู้เชี่ยวชาญของศาลเป็นผู้ตรวจพิสูจน์โดยเปรียบเทียบลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทกับลายมือชื่อตัวอย่างของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 และลายมือชื่อของโจทก์ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คแล้วส.มีความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันแม้ ส. จะมิได้มาเบิกความประกอบ รายงานการตรวจพิสูจน์ก็รับฟังได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 130 ลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทมิใช่ลายมือชื่อของโจทก์และเป็นลายมือชื่อปลอม การที่จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคารซึ่งเป็นธุรกิจอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน การรับฝากเงินและการจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นธุรกิจส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ และโดยที่จำเลยที่ 3 เป็นสมุห์บัญชีลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของข้อความในเช็คและลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คที่นำมาขอเบิกเงินจากธนาคารของจำเลยที่ 1 จ ำเลยที่ 3 ย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของลูกค้าผู้สั่งจ่ายหรือไม่ ยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งจำเลยที่ 3 จะต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่ว ๆ ไป เพราะเป็นงานในหน้าที่ของจำเลยที่ 3ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 จ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้นำมาเรียกเก็บเงินไปโดยที่ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คดังกาวไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 กับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลยที่ 1 ยิ่งกว่านั้นลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทก็มีลักษณะแตกต่างกับตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งหากได้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่โดยละเอียดรอบคอบจะต้องทราบว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอม การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3จึงเป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวังในฐานะที่จำเลยเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท อันเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 425 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและแจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เพิกถอนรายการที่ไม่ถูกต้อง ขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เพิกถอนรายการตามใบแจ้งรายการบัญชีโดยให้ถือว่ามิได้มีการเบิกถอนเงินตามเช็คพิพาทและงดคิดดอกเบี้ยตามเช็คดังกล่าวหรือมิฉะนั้นให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันนำเงินจำนวน625,365 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยซึ่งคิดเอาจากบัญชีของโจทก์ส่งคืนบัญชีโจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยตามกฎหมาย และให้จำเลยที่ 1หักทอนบัญชีเพื่อจะทราบว่ามียอดหนี้ค้างชำระกันในขณะนี้เป็นจำนวนเท่าใด แต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ยอมที่จะเพิกถอนรายการตามใบแจ้งรายการบัญชีโดยให้ถือว่ามิได้มีการเบิกถอนเงินตามเช็คพิพาท และงดคิดดอกเบี้ยตามเช็คดังที่โจทก์เรียกร้องและโจทก์ได้เลือกฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 คิดเอาจากโจทก์โดยกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3กระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงเท่ากับโจทก์ยอมรับยอดเงินตามรายการในบัญชีเดินสะพัดที่จำเลยที่ 1 เรียกร้องเอาจากโจทก์และฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นตัวเงินเอาจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งโจทก์ชอบที่จะเลือกได้ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องรับผิดในการกระทำละเมิดต่อโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ยอมเพิกถอนรายการในบัญชีเดินสะพัดเช่นนี้ จึงชอบที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ชดใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์เลือก จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องร่วมกันชำระเงินจำนวน 625,365 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยซึ่งจำเลยที่ 1และที่ 3 คิดเอาจากบัญชีของโจทก์คืน อันถือได้ว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ซึ่งจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 คิดเอาจากโจทก์เป็นจำนวน 16,170.94 บาทโจทก์ก็ชอบที่จะได้รับชดใช้คืนเป็นค่าเสียหายด้วย สำหรับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ก็เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บจากโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ โดยเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งที่โจทก์ได้รับเนื่องจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 คิดดอกเบี้ยเอาจากโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1208/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดทุนทรัพย์ฎีกาในคดีละเมิดร่วมกัน กรณีจำเลยที่ 3 อ้างการจ้างวาน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดต่อโจทก์เป็นเงิน 308,147.20 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ได้ตัดฟันต้นไม้ที่ปลูกในป่าสงวนแห่งชาติเป็นการกระทำละเมิดต่อกรมป่าไม้โจทก์และพิพากษาให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 125,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้จ้างวานจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 3จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ด้วยนั้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ซึ่งหากจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดก็ไม่เกินความเสียหายที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำ ดังนี้ถือว่าฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3มีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ด้วยเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1208/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดทุนทรัพย์ฎีกา: การขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในหนี้ร่วมจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 และ 2
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดต่อโจทก์เป็นเงิน308,1447.20บาทศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยที่1ที่2ได้ตัดฟันต้นไม้ที่ปลูกในป่าสงวนแห่งชาติเป็นการกระทำละเมิดต่อกรมป่าไม้โจทก์และพิพากษาให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน125,800บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่3เป็นผู้จ้างวานจำเลยที่1และที่2จำเลยที่3จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ด้วยนั้นจึงเป็นกรณีที่โจทก์ขอให้จำเลยที่3ร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่1และที่2อันเป็นหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้ซึ่งหากจำเลยที่3จะต้องรับผิดก็ไม่เกินความเสียหายที่จำเลยที่1และที่2ได้กระทำดังนี้ถือว่าฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยที่3มีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งด้วยเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นความรับผิดนายจ้าง-ตัวแทน: ศาลฎีกาเน้นการวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากโจทก์ไม่โต้แย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2และที่3ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุจำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่2หรือเพราะเหตุจำเลยที่1เป็นตัวแทนของจำเลยที่2กรณีใดกรณีหนึ่งเมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดให้เป็นประเด็นนายจ้างลูกจ้างแสดงว่าคู่ความประสงค์กำหนดประเด็นข้อพิพาทความรับผิดเรื่องนายจ้างลูกจ้างเพียงเหตุเดียวส่วนความรับผิดเรื่องตัวการตัวแทนเป็นอันหมดสิ้นไปเมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่าจำเลยที่1เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่1เป็นตัวแทนของจำเลยที่2กระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังนั้นเมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะนายจ้างและจำเลยที่3ผู้รับประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่2ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง และความรับผิดในความเสียหายจากการขับรถ แม้มีสายบังคับบัญชาแต่ไม่ถือเป็นลูกจ้าง
จำเลยที่1เป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลมีนบุรีและจำเลยที่2ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจนครบาล7มีนบุรีต่างมีอาชีพรับราชการจำเลยที่1เป็นแต่เพียงผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่2ตามสายการบังคับบัญชาเท่านั้นหากจำเลยที่1จะขับรถยนต์ให้จำเลยที่2บ้างก็น่าจะเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัยและการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์ของจำเลยที่2อาสาไปส่งจำเลยที่4ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรีนั้นก็เป็นเรื่องเอื้อเฟื้อส่วนตัวของจำเลยที่1ข้อเท็จจริงเช่นนี้จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดต่อโจทก์ที่1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดในละเมิดของลูกจ้างเมื่อการใช้รถเป็นการกระทำในทางการที่จ้าง แม้มีระเบียบห้าม
ก่อนเกิดเหตุ1วันพ. ได้ขอยืมรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุจากหัวหน้าช่างของจำเลยที่4ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวรับประทานการรับประทานอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพให้มีชีวิตอยู่มีกำลังในการทำงานถึงแม้จำเลยที่4มีระเบียบว่าเมื่อเลิกงานแล้วคนงานจะออกไปจากที่ก่อสร้างไม่ได้และจำนำรถไปใช้หลังจากเลิกงานแล้วไม่ได้ก็ตามก็เป็นเรื่องภายในระหว่างจำเลยที่4กับพนักงานจะนำระเบียบดังกล่าวไปใช้ยันกับบุคคลภายนอกเพื่อปัดความรับผิดหาได้ไม่ปรากฎว่าพ. กับพวกซื้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้จึงออกไปรับประทานอาหารในเขตจังหวัดลำปางจากนั้นจึงพากันไปที่บ้านว. ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ก่อสร้าง60กิโลเมตรจึงยังเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตการอนุญาตของหัวหน้าช่างผู้มีสิทธิอนุญาตให้นำรถไปใช้แทนจำเลยที่4ซึ่งเป็นนายจ้างถือได้ว่าจำเลยที่4ร่วมรู้เห็นในการให้พ. นำรถออกไปใช้ด้วยดังนั้นการที่พ. นำรถออกไปใช้ดังกล่าวเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่4จำเลยที่4ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่5ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการนำรถไปกระทำให้เกิดอุบัติเหตุด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดต่อการละเมิดของลูกจ้างที่ขับรถในทางการจ้าง แม้จะมีการเบิกจ่ายค่าปลงศพเป็นค่าช่วยเหลือ
พ. และค. ลูกจ้างของจำเลยที่4และที่5นำรถยนต์กระบะของนายจ้างออกไปนอกสถานที่ทำการจนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุรถชนกันโดยก่อนเกิดเหตุ1วันพ. ได้ขอยืมรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุจากหัวหน้าช่างของจำเลยที่4ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวรับประทานการรับประทานอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพให้มีชีวิตอยู่มีกำลังในการทำงานถึงแม้จำเลยที่4มีระเบียบว่าเมื่อเลิกงานแล้วคนงานจะออกไปจากที่ก่อสร้างไม่ได้และผู้มีหน้าที่ขับและเก็บรักษารถจะนำรถไปใช้หลังจากเลิกงานแล้วไม่ได้ก็ตามก็เป็นเรื่องภายในระหว่างจำเลยที่4กับพนักงานการที่พ. กับพวกซื้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้จึงได้ไปรับประทานอาหารในเขตจังหวัด1ชั่วโมงต่อจากนั้นจึงได้พากันไปที่บ้านว. ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ก่อสร้าง60กิโลเมตรจึงยังเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบของการอนุญาตของหัวหน้าช่างผู้มีสิทธิอนุญาตให้นำรถไปใช้แทนจำเลยที่4ซึ่งเป็นนายจ้างอันถือได้ว่าจำเลยที่4ร่วมรู้เห็นในการให้พ. นำรถออกไปใช้ดังกล่าวด้วยการที่พ. นำรถออกไปใช้ดังกล่าวเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่4จำเลยที่4ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่5ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดอันเกิดจากการนำรถไปกระทำให้เกิดอุบัติเหตุด้วย โจทก์ได้จ่ายเงินให้บิดามารดาของผู้ตายไปคนละ3,000บาทรวม6,000บาทเป็นการจ่ายให้ไปเพื่อมนุษยธรรมจึงเป็นเรื่องการจ่ายให้เปล่าไม่ต้องการผลตอบแทนกรณีจึงเป็นเรื่องให้โดยเสน่หาของโจทก์เองมิใช่เป็นเรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินในส่วนนี้จากผู้กระทำละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติงาน และการจ่ายเงินเยียวยาโดยไม่มีผลบังคับ
พ.และ ค.ลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และที่ 5 นำรถยนต์กระบะของนายจ้างออกไปนอกสถานที่ทำการจนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุรถชนกัน โดยก่อนเกิดเหตุ1 วัน พ.ได้ขอยืมรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุจากหัวหน้าช่างของจำเลยที่ 4 ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวรับประทาน การรับประทานอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพให้มีชีวิตอยู่มีกำลังในการทำงาน ถึงแม้จำเลยที่ 4 มีระเบียบว่า เมื่อเลิกงานแล้วคนงานจะออกไปจากที่ก่อสร้างไม่ได้และผู้มีหน้าที่ขับและเก็บรักษารถจะนำรถไปใช้หลังจากเลิกงานแล้วไม่ได้ก็ตาม ก็เป็นเรื่องภายในระหว่างจำเลยที่ 4กับพนักงาน การที่ พ.กับพวกซื้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ จึงได้ไปรับประทานอาหารในเขตจังหวัด 1 ชั่วโมง ต่อจากนั้นจึงได้พากันไปที่บ้าน ว. ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ก่อสร้าง60 กิโลเมตร จึงยังเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบของการอนุญาตของหัวหน้าช่างผู้มีสิทธิอนุญาตให้นำรถไปใช้แทนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนายจ้าง อันถือได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมรู้เห็นในการให้ พ.นำรถออกไปใช้ดังกล่าวด้วย การที่ พ.นำรถออกไปใช้ดังกล่าวเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 5 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดอันเกิดจากการนำรถไปกระทำให้เกิดอุบัติเหตุด้วย
โจทก์ได้จ่ายเงินให้บิดามารดาของผู้ตายไปคนละ 3,000 บาทรวม 6,000 บาท เป็นการจ่ายให้ไปเพื่อมนุษยธรรม จึงเป็นเรื่องการจ่ายให้เปล่าไม่ต้องการผลตอบแทน กรณีจึงเป็นเรื่องให้โดยเสน่หาของโจทก์เองมิใช่เป็นเรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินในส่วนนี้จากผู้กระทำละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง, การมีอำนาจฟ้อง, และการประเมินค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ตามหนังสือมอบอำนาจระบุข้อความว่ากรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทโจทก์ได้มอบอำนาจให้ช. มีอำนาจดำเนินคดีแพ่งแทนโจทก์ในการฟ้องร้องเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการที่โจทก์ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยและรับช่วงสิทธินั้นเพื่อเรียกร้องเอาแก่ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายตามที่โจทก์ได้รับประกันภัยไว้หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นหนังสือที่ได้มอบอำนาจให้ช.ฟ้องคดีรวมไปถึงคดีนี้ด้วยโดยแจ้งชัดแล้วช. จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยที่3ขับรถยนต์บรรทุกชนท้ายรถสามล้อเครื่องเป็นเหตุให้รถสามล้อเครื่องกระเด็นไปชนรถยนต์ของบริษัทง. แล้วรถยนต์ดังกล่าวไปชนกับท้ายรถยนต์โดยสารดังนี้แม้เหตุเป็นเพราะลูกยางแม่ปั๊มเบรกแตกก็ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยเพราะหากจำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ตรวจตราและดูแลรถยนต์บรรทุกประจำตามวิสัยของผู้มีอาชีพขับรถยนต์ก็ย่อมป้องกันไม่ให้ลูกยางแม่ปั๊มเบรกแตกโดยกะทันหันได้จำเลยที่3จึงกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ของบริษัทง. ได้รับความเสียหาย จำเลยที่3เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่1และที่2ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่1และที่2ซึ่งเป็นนายจ้างไปในทางการที่จ้างแล้วหลังจากนั้นแม้จำเลยที่3จะทุจริตขับรถยนต์ไปธุระส่วนตัวแล้วไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่นก็ตามก็เป็นเรื่องการปฏิบัติงานในหน้าที่ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างไม่ชอบแต่ในกรณีบุคคลภายนอกถือว่าเป็นการกระทำละเมิดในทางการที่จ้างซึ่งจำเลยที่1และที่2จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่3ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6935/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างในการปฏิบัติงาน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ดำเนินกิจการโรงสีข้าว ท. ร่วมกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 บรรทุกข้าวสารของโรงสีข้าว ท. ไปส่งตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 โดยประมาทเลินเล่อชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ เป็นการทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
of 102