พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,014 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัยได้ หากพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการจ้าง
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัย ขึ้นต่อสู้กับผู้ซึ่งฟ้องตนให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (อ้างฎีกาที่ 3631/2528) การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุ ชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตนแล้ว นำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า เป็นงานที่พึงทำให้เปล่า. เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุ ชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตนแล้ว นำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า เป็นงานที่พึงทำให้เปล่า. เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัยได้ หากพิสูจน์ได้ว่าลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของผู้เอาประกันภัย ขึ้นต่อสู้กับผู้ซึ่งฟ้องตนให้รับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (อ้างฎีกาที่ 3631/2528)
การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตน แล้วนำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่าเป็นงานที่พึงทำให้เปล่า เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
การที่จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไม่ได้เป็นลูกจ้างปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย โดยศาลชั้นต้น กำหนดเป็นประเด็นไว้ และวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามแพ้คดีดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะไม่อุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ตกไป เมื่อจำเลยที่ 3 ยังติดใจ อุทธรณ์ในประเด็นนี้อยู่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 มาติดต่อกับพนักงานสอบสวนระบุชื่อ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุของตน แล้วนำตัวจำเลยที่ 1 มามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับได้มา ทำการตกลงค่าเสียหายกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเพียงพอ ให้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นอกจากนี้การขับ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ไม่ใช่งานที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีความชำนาญเป็นพิเศษจะพึงทำได้ แต่เป็นงานของผู้มีอาชีพในทางนี้โดยเฉพาะ และไม่อาจคาดหมายได้ว่าเป็นงานที่พึงทำให้เปล่า เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างไว้คดีชอบที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ไปทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 (อ้างฎีกาที่ 2048/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4270/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง แม้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่โดยตรง
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างประจำรายเดือนของจำเลยที่ 3ตำแหน่งภารโรง ไม่มีหน้าที่ขับรถ จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 ไปช่วยราชการภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขับรถไปเกิดเหตุละเมิดต่อโจทก์ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 3 แม้การขับรถยนต์จะมิใช่งานในหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ 3 จ้างจำเลยที่ 1 กระทำก็ตามก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จะอ้างว่าได้จ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำงานเป็นภารโรงไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ซึ่งเป็นระเบียบข้อบังคับภายในของจำเลยที่ 3 มาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4178/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการประนีประนอมยอมความของทายาทผู้เช่าซื้อ และผลกระทบต่อสิทธิเรียกร้องของเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหาย
ผู้เช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบุคคลผู้กระทำความเสียหายแก่รถที่เช่าซื้อได้ เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่ความตายในระหว่างที่ยังเช่าซื้อ ภรรยาของผู้เช่าซื้อในฐานะทายาทของผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจากผู้ทำละเมิดได้ และมีสิทธิจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความในการทำละเมิดนี้ได้ เมื่อปรากฏว่าภรรยาของผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในเรื่องค่าเสียหายของทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถที่ทำละเมิดแล้วสิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดดังกล่าวย่อมระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีก สำหรับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างแม้จะไม่ได้ฎีกา แต่หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ในมูลละเมิดซึ่งเป็นหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้จำเลยที่ 1 จึงได้รับผลจากคำพิพากษานี้ด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1), 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุนเมื่อเกิดความเสียหายจากความประมาทของผู้อื่น และการโต้แย้งเรื่องประเด็นข้อพิพาท
จำเลยที่ 2 กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำเบิกความของ ส.พยานโจทก์เบิกความไม่แน่ชัด จำเลยที่ 2 ไม่สามารถเข้าใจ คำฟ้องของโจทก์ได้ดี โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอคำบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างใด ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งปัญหาในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์เสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ
แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์เสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัย: ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดเมื่อผู้ขับขี่ประมาท แม้จะมีการต่อสู้เรื่องความประมาทของฝ่ายอื่น
จำเลยที่ 2 กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะ คำเบิกความของส.พยานโจทก์เบิกความไม่แน่ชัดจำเลยที่2 ไม่สามารถเข้าใจ คำฟ้องของโจทก์ได้ดีโดยจำเลยที่2 ไม่ได้โต้แย้งเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอคำบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างใด ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งปัญหาในเรื่องการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลเท่านั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้อง ของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่จำเลยที่2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็น ความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาท ของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์ เสียหายไม่ถึงตามฟ้องศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วยเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทน จำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2อุทธรณ์ ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3208/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดต่อละเมิดของลูกจ้างที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ แม้จะนอกเวลาราชการ
จำเลยที่ 2 เป็นทหารพลขับ มีหน้าที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 เป็นประจำและเป็นผู้ครอบครองดูแลรถดังกล่าว ได้ขับรถไปปฏิบัติราชการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เมื่อเสร็จภาระกิจแล้วได้นำรถออกจากค่ายเพื่อไปรับประทานอาหารที่ตลาดแม้จะหมดเวลาราชการและมิได้ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แต่ก็เป็นเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 กลับจากไปปฏิบัติราชการ ของจำเลยที่ 1 มา แล้วเลยใช้รถขับไปเพื่อหาอาหารรับประทาน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานซึ่งได้กระทำการ ตามหน้าที่การงานของจำเลยที่1 เมื่อจำเลยที่ 2 ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกจำเลยที่1ต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3208/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดต่อละเมิดของลูกจ้างเมื่ออยู่ในขอบเขตหน้าที่ แม้จะนอกเวลาราชการ
จำเลยที่ 2 เป็นทหารพลขับ มีหน้าที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 เป็นประจำและเป็นผู้ครอบครองดูแลรถ ดังกล่าว ได้ขับรถไปปฏิบัติราชการตามคำสั่งของ ผู้บังคับบัญชา เมื่อเสร็จภาระกิจแล้วได้นำรถออกจาก ค่ายเพื่อไปรับประทานอาหารที่ตลาด แม้จะหมดเวลาราชการ และมิได้ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แต่ก็เป็นเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 กลับจากไปปฏิบัติราชการ ของ จำเลยที่ 1 มา แล้วเลยใช้รถขับไปเพื่อหาอาหารรับประทาน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานซึ่งได้กระทำการ ตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2816/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเจ้าหน้าที่และนิติบุคคลต่อความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อในการส่งโทรเลข
ตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ที่บัญญัติให้ใช้พระราชบัญญัติโทรเลขและโทรศัพท์ พุทธศักราช 2477 เท่าที่ไม่ขัดหรือแย่งกันนั้น ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติโทรเลขและโทรศัพท์ดังกล่าวบัญญัติว่า "รัฐบาลไม่ต้องรับผิดในการสูญหายหรือเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งหากเกิดขึ้นเพราะเหตุที่เครื่องโทรเลขใช้การไม่สะดวก หรือพนักงานโทรเลขคนใดบกพร่องต่อหน้าที่อันเกี่ยวแก่การรับส่ง หรือการส่งมอบข่าวสารใด ๆ และพนักงานนั้น ๆ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบในการสูญหายหรือเสียหายนั้น ๆ เว้นแต่ตนจะก่อให้เกิดขึ้นโดยเจตนาหรือโดยกลฉ้อฉล หรือโดยความประมาทเลินเล่อ"แสดงว่าจำเลยจะไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ต่อเมื่อเป็นการกระทำที่เกิดจากปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของจำเลย ข้อยกเว้นความรับผิดดังกล่าวไม่รวมถึงการที่พนักงานโทรเลขก่อให้เกิดขึ้นโดยเจตนาหรือโดยกลฉ้อฉลหรือโดยความประมาทเลินเล่อ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 จึงไม่ได้รับยกเว้นความรับผิดตามกฎหมายดังกล่าว
แม้จำเลยที่ 1 จะมิใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของการสื่อสารแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ก็เป็นพนักงานในสังกัดของจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่การงานตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นผู้บังคับบัญชาเมื่อจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่การงานโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ต้องร่ามรับผิดด้วย
การที่โจทก์ได้รับความเศร้าโศกเสียใจ เนื่องจากได้รับโทรเลขที่จำเลยที่ 1ปรุข้อความผิดเป็นว่าบุตรสาวโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วนั้น ความเศร้าโศกเสียใจของโจทก์เป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อทราบข่าวร้าย ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิโจทก์เรียกค่าเสียหายในเรื่องนี้ได้
แม้จำเลยที่ 1 จะมิใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของการสื่อสารแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ก็เป็นพนักงานในสังกัดของจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่การงานตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นผู้บังคับบัญชาเมื่อจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่การงานโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ต้องร่ามรับผิดด้วย
การที่โจทก์ได้รับความเศร้าโศกเสียใจ เนื่องจากได้รับโทรเลขที่จำเลยที่ 1ปรุข้อความผิดเป็นว่าบุตรสาวโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วนั้น ความเศร้าโศกเสียใจของโจทก์เป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อทราบข่าวร้าย ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิโจทก์เรียกค่าเสียหายในเรื่องนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้าง/เจ้าของรถต่อการละเมิดของลูกจ้าง/ผู้ขับขี่ และประเด็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 5 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่4 ชนรถโจทก์เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายว่า จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 เป็นเพียงผู้แทนของจำเลยที่5 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งพอเข้าใจว่าจำเลยที่1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 และได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่5 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำแทน จึงเป็นคำฟ้องที่ให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 และ มาตรา 820 แล้ว
การที่จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และศาลกะประเด็นข้อพิพาทว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่เป็นการกะประเด็นกว้างๆ ซึ่งย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และที่กะประเด็นอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่2 ถึงที่ 6 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัว และหมายถึงจำเลยที่ 5 โดยมีจำเลยที่ 4เป็นผู้แทน ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
การที่จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และศาลกะประเด็นข้อพิพาทว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่เป็นการกะประเด็นกว้างๆ ซึ่งย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และที่กะประเด็นอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่2 ถึงที่ 6 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัว และหมายถึงจำเลยที่ 5 โดยมีจำเลยที่ 4เป็นผู้แทน ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น