พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,014 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุน: ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงจะทำให้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะตองรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จ.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วนจ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก.ด้วย ทั้งโจทก์ก็มิได้สืบนำสืบว่า ก.มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิด ที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่นกัน
โจทก์ฟ้องว่า จ.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วนจ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก.ด้วย ทั้งโจทก์ก็มิได้สืบนำสืบว่า ก.มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิด ที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้จากละเมิด-ผู้รับประกันภัยฟ้องได้ทันที: ไม่ต้องทวงถามก่อนฟ้อง
หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 เจ้าหนี้หาจำต้องเตือนหรือทวงถามก่อนฟ้องไม่
เจ้าของรถที่ถูกชนอื่นชนเสียหายโดยละเมิด ย่อมเป็นเจ้าหนี้และชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถอื่นที่ทำละเมิดและนายจ้างของผู้ทำละเมิดนั้นได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ใช้ค่าเสียหายก่อน ผู้รับประกันภัยรถที่ถูกชนซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของรถนั้นไปแล้ว ก็ชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ 880 ดังนั้น ผู้รับประกันภัยจึงฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดได้โดยหาจำต้องบอกกล่าวหรือทวงถามเสียก่อนไม่
เจ้าของรถที่ถูกชนอื่นชนเสียหายโดยละเมิด ย่อมเป็นเจ้าหนี้และชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถอื่นที่ทำละเมิดและนายจ้างของผู้ทำละเมิดนั้นได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ใช้ค่าเสียหายก่อน ผู้รับประกันภัยรถที่ถูกชนซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของรถนั้นไปแล้ว ก็ชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ 880 ดังนั้น ผู้รับประกันภัยจึงฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดได้โดยหาจำต้องบอกกล่าวหรือทวงถามเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยมีสิทธิฟ้องผู้ทำละเมิดและนายจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องทวงถามหนี้
หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 206เจ้าหนี้หาจำต้องเตือนหรือทวงถามก่อนฟ้องไม่
เจ้าของรถที่ถูกรถอื่นชนเสียหายโดยละเมิด ย่อมเป็นเจ้าหนี้และชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถอื่นที่ทำละเมิดและนายจ้างของผู้ทำละเมิดนั้นได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ใช้ค่าเสียหายก่อนผู้รับประกันภัยรถที่ถูกชนซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของรถนั้นไปแล้วก็ชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ 880ดังนั้นผู้รับประกันภัยจึงฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดได้โดยหาจำต้องบอกกล่าวหรือทวงถามเสียก่อนไม่
เจ้าของรถที่ถูกรถอื่นชนเสียหายโดยละเมิด ย่อมเป็นเจ้าหนี้และชอบที่จะฟ้องผู้ขับรถอื่นที่ทำละเมิดและนายจ้างของผู้ทำละเมิดนั้นได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ใช้ค่าเสียหายก่อนผู้รับประกันภัยรถที่ถูกชนซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของรถนั้นไปแล้วก็ชอบที่จะเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยผู้เป็นเจ้าหนี้ได้และชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นในนามของตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ 880ดังนั้นผู้รับประกันภัยจึงฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดได้โดยหาจำต้องบอกกล่าวหรือทวงถามเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1657/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดในละเมิดของลูกจ้างที่กระทำในทางการที่จ้าง แม้ข้อเท็จจริงไม่ตรงตามฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างก็ต้องร่วมรับผิด แม้จะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถนั้นก็ตามศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดได้ หานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากโจทก์ในคดีอาญาและคดีแพ่งไม่เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ชนรถโจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้ปรากฏว่ากรณีเดียวกันนี้จำเลยที่ 1 เคยถูกผู้ว่าคดีฟ้องเป็นคดีอาญา และศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อคดีอาญานั้นโจทก์คดีนี้มิใช่เป็นผู้รับบาดเจ็บจากการที่รถชนกัน และคดีอาญาที่เกี่ยวกับการกระทำผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้อง หรือขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ว่าคดีได้ ผู้ว่าคดีจึงไม่อยู่ในฐานะฟ้องคดีอาญาแทนโจทก์ ผลของคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ เพราะโจทก์มิใช่เป็นคู่ความเดียวกัน ในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากโจทก์ไม่ใช่คู่ความเดียวกัน และไม่มีอำนาจฟ้องในคดีอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ชนรถโจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้ปรากฏว่ากรณีเดียวกันนี้จำเลยที่ 1 เคยถูกผู้ว่าคดีฟ้องเป็นคดีอาญา และศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อคดีอาญานั้นโจทก์คดีนี้มิใช่เป็นผู้รับบาดเจ็บจากการที่รถชนกัน และคดีอาญาที่เกี่ยวกับการกระทำผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องหรือขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ว่าคดีได้ ผู้ว่าคดีจึงไม่อยู่ในฐานะฟ้องคดีอาญาแทนโจทก์ ผลของคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ เพราะโจทก์มิใช่เป็นคู่ความเดียวกันในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1432/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากความประมาทในการวางสายไฟฟ้า ทำให้ผู้เยาว์เสียชีวิต ผู้ประกอบการและลูกจ้างต้องรับผิดค่าขาดไร้อุปการะ
เมื่อฟ้องบรรยายว่าโจทก์เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กระทำละเมิดอันเป็นบุตรโจทก์ถึงแก่กรรมโดยชัดแจ้ง ทำให้โจทก์ขาดไร้อุปการะ และได้เรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ย่อมถือว่าคำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่น ว่านั้นแล้ว จึงเป็นที่สมบูรณ์ ส่วนค่าสินไหมทดแทนควรจะเป็นเท่าใด หากผู้ตายมีชีวิตอยู่จะได้อุปการะโจทก์อย่างไรบ้างนั้น เป็นเพียงรายละเอียดและอาจคาดหมายได้ ศาลย่อมกำหนดให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ซึ่งไม่จำต้องกล่าวไว้โดยละเอียดในฟ้อง
การที่ไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำเลยที่ 4 มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ในการวางสายไฟฟ้านั้น เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะไปว่ากล่าวกันเอง เมื่อได้ความว่าเหตุที่บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายนั้น เนื่องจากจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ตัดสารโทรเลขตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เช่นกัน และเป็นไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ทำให้เสาโทรเลขล้มลง สายโทรเลขช่วงถัดไปหย่อนไปแตะกับสายไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าไหลตามสายโทรเลขต้นที่ล้มลงไปในคูน้ำและเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้านั้นช๊อตบุตรโจทก์ตาย จำเลยที่ 1 จะปัดความรับผิดไม่ได้
แม้ตามฐานะโจทก์ไม่จำต้องพึ่งผู้ตายก็ตาม แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายทั้งสองเป็นผู้เยาว์ยังอยู่ในระหว่างที่โจทก์ให้อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา และโจทก์ก็หวังผู้ตายเป็นที่พึ่งของโจทก์ในภายหน้า ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 บัญญัติว่า บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดานั้น มิได้หมายความว่าเมื่อบิดามารดามีรายได้เลี้ยงชีพของตนเองแล้ว หน้าที่ของบุตรที่จำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาจะหมดสิ้นไปเมื่อบุตรโจทก์ถึงแก่กรรมเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะ
การที่ไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำเลยที่ 4 มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ในการวางสายไฟฟ้านั้น เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะไปว่ากล่าวกันเอง เมื่อได้ความว่าเหตุที่บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายนั้น เนื่องจากจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ตัดสารโทรเลขตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เช่นกัน และเป็นไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ทำให้เสาโทรเลขล้มลง สายโทรเลขช่วงถัดไปหย่อนไปแตะกับสายไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าไหลตามสายโทรเลขต้นที่ล้มลงไปในคูน้ำและเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้านั้นช๊อตบุตรโจทก์ตาย จำเลยที่ 1 จะปัดความรับผิดไม่ได้
แม้ตามฐานะโจทก์ไม่จำต้องพึ่งผู้ตายก็ตาม แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายทั้งสองเป็นผู้เยาว์ยังอยู่ในระหว่างที่โจทก์ให้อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา และโจทก์ก็หวังผู้ตายเป็นที่พึ่งของโจทก์ในภายหน้า ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 บัญญัติว่า บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดานั้น มิได้หมายความว่าเมื่อบิดามารดามีรายได้เลี้ยงชีพของตนเองแล้ว หน้าที่ของบุตรที่จำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาจะหมดสิ้นไปเมื่อบุตรโจทก์ถึงแก่กรรมเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1151/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง และค่าเสียหายจากการเสียชีวิต
โจทก์บรรยายฟ้อง ก.ลูกจ้างของจำเลย ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยไปในทางการที่จ้าง โดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้ชน ส.บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปลงศพเป็นเงิน 10,000 บาท เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งขออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดในเรื่องค่าเสียหายเกี่ยวกับการปลงศพ ซึ่งโจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณาได้อยู่แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ฟ้องเคลือบคลุม
ก.ลูกจ้างจำเลยมีหน้าที่ขับรถขุดดิน แต่ไม่มีหน้าที่ขับรถบรรทุกดินคันเกิดเหตุซึ่งอยู่ในแผนกเดียวกันกับตน วันเกิดเหตุ ก.ได้เบิกรถบรรทุกดินคันเกิดเหตุไปเพื่อขับบรรทุกดินในกิจการของจำเลยแทน ม. โดยประสงค์จะได้เงินค่าล่วงเวลา ท.เจ้าหน้าที่ควบคุมและปล่อยรถจำเลยได้ปล่อยให้ ก.นำรถดังกล่าวไปได้ ศ.เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของ ก.เห็นว่า ก.ไม่มีหน้าที่ขับรถคันนั้น และนำรถออกมาไม่ถูกระเบียบจึงไม่ให้ขับ และให้ก.ไปขับรถขุดดินแทน แต่เมื่อเลิกงาน ศ. กลับปล่อยให้ ก.ขับรถคันเกิดเหตุกลับไปเก็บ ระหว่างทาง ก.ขับรถยนต์ชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยความประมาท การกระทำของ ก. เป็นไปในทางการที่จ้างของจำเลยโดยตรง การที่รถคันเกิดเหตุถูกนำออกโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย เกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่จำเลย จะนำมาใช้ยันบุคคลภายนอกเพื่อให้จำเลยพ้นความรับผิดหาได้ไม่
การที่บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยการละเมิด โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ต้องขาดไร้อุปการะ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์จะต้องเป็นผู้ที่ดำรงชีพด้วยการอุปการะของผู้ตายจริง
ก.ลูกจ้างจำเลยมีหน้าที่ขับรถขุดดิน แต่ไม่มีหน้าที่ขับรถบรรทุกดินคันเกิดเหตุซึ่งอยู่ในแผนกเดียวกันกับตน วันเกิดเหตุ ก.ได้เบิกรถบรรทุกดินคันเกิดเหตุไปเพื่อขับบรรทุกดินในกิจการของจำเลยแทน ม. โดยประสงค์จะได้เงินค่าล่วงเวลา ท.เจ้าหน้าที่ควบคุมและปล่อยรถจำเลยได้ปล่อยให้ ก.นำรถดังกล่าวไปได้ ศ.เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของ ก.เห็นว่า ก.ไม่มีหน้าที่ขับรถคันนั้น และนำรถออกมาไม่ถูกระเบียบจึงไม่ให้ขับ และให้ก.ไปขับรถขุดดินแทน แต่เมื่อเลิกงาน ศ. กลับปล่อยให้ ก.ขับรถคันเกิดเหตุกลับไปเก็บ ระหว่างทาง ก.ขับรถยนต์ชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยความประมาท การกระทำของ ก. เป็นไปในทางการที่จ้างของจำเลยโดยตรง การที่รถคันเกิดเหตุถูกนำออกโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย เกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่จำเลย จะนำมาใช้ยันบุคคลภายนอกเพื่อให้จำเลยพ้นความรับผิดหาได้ไม่
การที่บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยการละเมิด โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ต้องขาดไร้อุปการะ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์จะต้องเป็นผู้ที่ดำรงชีพด้วยการอุปการะของผู้ตายจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายของรถยนต์ที่จอดไว้ และประเด็นการนำสืบพยานที่ไม่ชัดเจน
บรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง ประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังรายการเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 โดยไม่จำต้องกล่าวว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลย และนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรม แล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมันแต่ตามคำให้การจำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลย และนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรม แล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมันแต่ตามคำให้การจำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดต่อการละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติงาน แม้จะเกิดจากความประมาทเลินเล่อ และไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
ลูกจ้างจุดไม้ขีดไฟเพื่อสูบบุหรี่ในขณะขนปี๊ปหน่อไม้จากฉางขึ้นรถยนต์ตามคำสั่งของนายจ้าง หัวไม้ขีดที่กำลังติดไฟกระเด็นไปถูกปุยนุ่นและปอในฉางทำให้เกิดไฟไหม้ฉางและลามไปไหม้บ้านราษฎรเสียหายขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างกำลังมีอยู่ ต้องถือว่าการละเมิดเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของลูกจ้างและไม่ไกลเกินกว่าเหตุ นายจ้างต้องรับผิด
กรณีดังกล่าว หากลูกจ้างใช้ความระมัดระวัง โดยพิเคราะห์ดูว่าปุยนุ่นและปอเป็นวัตถุที่ไวต่อการลุกไหม้แล้วเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นได้ กรณีจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุอันจะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ได้อุทธรณ์ว่าผู้ทำละเมิดมิใช่ลูกจ้างของตนปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
กรณีดังกล่าว หากลูกจ้างใช้ความระมัดระวัง โดยพิเคราะห์ดูว่าปุยนุ่นและปอเป็นวัตถุที่ไวต่อการลุกไหม้แล้วเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นได้ กรณีจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุอันจะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ได้อุทธรณ์ว่าผู้ทำละเมิดมิใช่ลูกจ้างของตนปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้