พบผลลัพธ์ทั้งหมด 480 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1655/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความยุติคดีอาญา: ผลผูกพันและอำนาจฟ้องของอัยการ
อัยการโจทก์และผู้เสียหายโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยบุกรุกขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.327
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยตกลงยอมขยับรั้วเข้ามาตามแนวที่ศาลชี้ ทนายโจทก์ร่วมและผู้รับมอบฉันทะจากผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ ได้ยอมรับข้อตกลงนี้และแถลงว่าจะได้ถอนฟ้องให้เสร็จไป ดังนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. ม.850,851,852
เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามยอมแล้วคดีก็ระงับไปตาม ป.วิ.อาญา ม.39 (2) การที่โจทก์ร่วมว่าจะถอนฟ้องเมื่อจำเลยปฏิบัติแล้วนั้น ก็มีความหมายเพียงเพื่อให้ศาลจำหนายคดีเสร็จไปตามวิธีปฏิบัติของศาลทั้งจะถอนหรือไม่ถอนก็มีผลไม่ต่างกันและอัยการไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีต่อไปได้.
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยตกลงยอมขยับรั้วเข้ามาตามแนวที่ศาลชี้ ทนายโจทก์ร่วมและผู้รับมอบฉันทะจากผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ ได้ยอมรับข้อตกลงนี้และแถลงว่าจะได้ถอนฟ้องให้เสร็จไป ดังนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. ม.850,851,852
เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามยอมแล้วคดีก็ระงับไปตาม ป.วิ.อาญา ม.39 (2) การที่โจทก์ร่วมว่าจะถอนฟ้องเมื่อจำเลยปฏิบัติแล้วนั้น ก็มีความหมายเพียงเพื่อให้ศาลจำหนายคดีเสร็จไปตามวิธีปฏิบัติของศาลทั้งจะถอนหรือไม่ถอนก็มีผลไม่ต่างกันและอัยการไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีต่อไปได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1655/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับข้อพิพาทด้วยการประนีประนอมยอมความและการสิ้นสุดคดีอาญา
อัยการโจทก์และผู้เสียหายโจทก์ร่วมฟ้องว่าจำเลยบุกรุกขอให้ลงโทษตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 327
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยตกลงยอมขยับรั้วเข้ามาตามแนวที่ศาลชี้ ทนายโจทก์ร่วมและผู้รับมอบฉันทะจากผู้เสียหาย(โจทก์ร่วม)ให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ ได้ยอมรับข้อตกลงนี้และแถลงว่าจะได้ถอนฟ้องให้เสร็จไป ดังนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850,851,852
เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามยอมแล้วคดีก็ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การที่โจทก์ร่วมว่าจะถอนฟ้องเมื่อจำเลยปฏิบัติแล้วนั้น ก็มีความหมายเพียงเพื่อให้ศาลจำหน่ายคดีเสร็จไปตามวิธีปฏิบัติของศาล ทั้งจะถอนหรือไม่ถอนก็มีผลไม่ต่างกันและอัยการไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีต่อไปได้
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยตกลงยอมขยับรั้วเข้ามาตามแนวที่ศาลชี้ ทนายโจทก์ร่วมและผู้รับมอบฉันทะจากผู้เสียหาย(โจทก์ร่วม)ให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ ได้ยอมรับข้อตกลงนี้และแถลงว่าจะได้ถอนฟ้องให้เสร็จไป ดังนี้ถือว่าทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850,851,852
เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามยอมแล้วคดีก็ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การที่โจทก์ร่วมว่าจะถอนฟ้องเมื่อจำเลยปฏิบัติแล้วนั้น ก็มีความหมายเพียงเพื่อให้ศาลจำหน่ายคดีเสร็จไปตามวิธีปฏิบัติของศาล ทั้งจะถอนหรือไม่ถอนก็มีผลไม่ต่างกันและอัยการไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม: สิทธิโจทก์บังคับคดีจากทรัพย์สินลูกหนี้ทั้งหมด แม้ไม่ได้ระบุเฉพาะทรัพย์จำนอง และจำเลยมิได้อุทธรณ์
เดิมโจทก์ฟ้องบังคับจำนองที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระให้โจทก์ภายใน 6 เดือน ศาลจึงพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจำเลยผิดสัญญาตามยอม โจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยได้ไม่พอชำระหนี้ ดังนี้เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กล่าวว่าจะบังคับเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองกันไว้แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์ใด ๆ ของจำเลยได้
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตาม วิ.แพ่ง ม.138
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตาม วิ.แพ่ง ม.138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอม และการยกเหตุถูกหลอกลวงในชั้นฎีกา
เดิมโจทก์ฟ้องบังคับจำนอง ที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระให้โจทก์ภายใน 6 เดือน ศาลจึงพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยผิดสัญญาตามยอม โจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยได้ไม่พอชำระหนี้ ดังนี้เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กล่าวว่าจะบังคับเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองกันไว้แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์ใดๆ ของจำเลยได้
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความและขอบเขตการบังคับคดี: ศาลอนุญาตบังคับคดีหนี้จากทรัพย์สินอื่นได้หากสัญญาไม่จำกัดเฉพาะทรัพย์จำนอง
เดิมโจทก์ฟ้องบังคับจำนอง ที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระให้โจทก์ภายใน 6 เดือน ศาลจึงพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยผิดสัญญาตามยอม โจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยได้ไม่พอชำระหนี้ ดังนี้เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กล่าวว่าจะบังคับเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองกันไว้แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์ใดๆ ของจำเลยได้
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636-1639/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับการบังคับคดีขับไล่: การตีความขอบเขตระยะเวลาเช่า
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยจากที่ของโจทก์ ชั้นพิจารณาคู่ความตกลงกันว่าโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไป 2 ปี แม้ในสัญญาประนีประนอมจะมิได้ระบุว่าเมื่อครบ 2 ปี แล้วจำเลยจะต้องยอมออกไปก็ตาม ก็ต้องตีความตามสัญญานั้นว่าเมื่อครบ 2 ปีแล้วจำเลยก็ต้องออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636-1639/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยจากที่ของโจทก์ ชั้นพิจารณาคู่ความตกลงกันว่าโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไป 2 ปี แม้ในสัญญาประนีประนอมจะมิได้ระบุว่าเมื่อครบ 2 ปีแล้วจำเลยจะต้องยอมออกไปก็ตาม ก็ต้องตีความตามสัญญานั้นว่าเมื่อครบ 2 ปีแล้วจำเลยก็ต้องออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636-1639/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับการบังคับคดีขับไล่ การตีความขอบเขตการเช่าและการสิ้นสุดสัญญา
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยจากที่ของโจทก์ ชั้นพิจารณาคู่ความตกลงกันว่าโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไป 2 ปี แม้ในสัญญาประนีประนอมจะมิได้ระบุว่าเมื่อครบ 2 ปีแล้วจำเลยจะต้องยอมออกไปก็ตาม ก็ต้องตีความตามสัญญานั้นว่าเมื่อครบ 2 ปีแล้วจำเลยก็ต้องออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความใช้บังคับได้แม้พินัยกรรมเป็นโมฆะ หากไม่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย และจำเลยไม่นำสืบข้อต่อสู้
ทายาทตามพินัยกรรมตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าให้ถือเอาตามพินัยกรรมซึ่งตามกฎหมายเป็นโมฆะตามมาตรา 1705, 1653 แล้วนั้นใช้บังคับได้สัญญานั้นย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับได้ เพราะพินัยกรรมนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและสัญญาประนีประนอมกันก็ไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายใดๆ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมเพราะจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ถือเอาตามพินัยกรรมนั้นแล้วจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำสัญญาโดยสำคัญผิดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามกฎหมายประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจำเลยต่อสู้ว่าสามีจำเลยได้บอกล้างนิติกรรมที่จำเลยได้กระทำไปโดยมิได้รับความยินยอมแล้วเช่นนี้จำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างต้องนำสืบก่อน เมื่อไม่สืบก็ไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ได้
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมเพราะจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ถือเอาตามพินัยกรรมนั้นแล้วจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำสัญญาโดยสำคัญผิดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามกฎหมายประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจำเลยต่อสู้ว่าสามีจำเลยได้บอกล้างนิติกรรมที่จำเลยได้กระทำไปโดยมิได้รับความยินยอมแล้วเช่นนี้จำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างต้องนำสืบก่อน เมื่อไม่สืบก็ไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปราณีประนอมยอมความใช้บังคับได้แม้พินัยกรรมเป็นโมฆะ หากไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
ทายาทตามพนัยกรรมตกลงกันทำสัญญาปราณีประนอมยอมความว่าให้ถือเอาตามพินัยกรรมซึ่งตามกฎหมายเป็นโมฆะแล้วนั้นใช้บังคับได้ สัญญานั้นย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับได้ เพราะพินัยกรรมนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและสัญญาปราณีประนอมนั้น ก็ไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายใด ๆ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรม เพราะจำเลยทำสัญญาปราณีประนอมยอมความให้ถือเอาตามพินัยกรรมนั้นแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำสัญญาโดยสำคัญผิดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นของแท้จริงและถูกต้องตาม ก.ม.ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจำเลยต่อสู้ว่า สามีจำเลยได้บอกล้างนิติกรรมที่จำเลยได้กระทำไปโดยมิได้รับความยินยอมแล้วเช่นนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างต้องนำสืบก่อน เมื่อไม่สืบก็ไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ได้
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรม เพราะจำเลยทำสัญญาปราณีประนอมยอมความให้ถือเอาตามพินัยกรรมนั้นแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำสัญญาโดยสำคัญผิดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นของแท้จริงและถูกต้องตาม ก.ม.ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจำเลยต่อสู้ว่า สามีจำเลยได้บอกล้างนิติกรรมที่จำเลยได้กระทำไปโดยมิได้รับความยินยอมแล้วเช่นนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างต้องนำสืบก่อน เมื่อไม่สืบก็ไม่มีข้อเท็จจริงจะวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ได้