พบผลลัพธ์ทั้งหมด 283 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: ศาลต้องรับฟังพยานทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการใส่ความทำหนังสือร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ แล้วส่งไปโฆษณาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จำเลยให้การว่า จำเลยได้ร้องเรียนจริง โดยส่งคำร้องเรียนไปลงหนังสือพิมพ์ด้วยความสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับจำเลยตามคลองธรรมและเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ข้อความที่ร้องเรียนเป็นความจริง ขอพิสูจน์ความจริง ดังนี้เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด และเพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 329 (1) และมาตรา 330 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นคำให้การปฏิเสธ
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความผิด ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์จำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานของโจทก์จำลยแล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดไปทีเดียว จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความผิด ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์จำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานของโจทก์จำลยแล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดไปทีเดียว จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: ศาลต้องรับฟังพยานทั้งโจทก์จำเลยก่อนชี้ขาดความผิด
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการใส่ความทำหนังสือร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ แล้วส่งไปโฆษณาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์จำเลยให้การว่า จำเลยได้ร้องเรียนจริงโดยส่งคำร้องเรียนไปลงหนังสือพิมพ์ด้วยความสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับจำเลยตามคลองธรรมและเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ข้อความที่ร้องเรียนเป็นความจริงขอพิสูจน์ความจริง ดังนี้เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด และเพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 329(1) และมาตรา 330 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเป็นคำให้การปฏิเสธ
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความผิด ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ จำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานของโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดไปทีเดียว จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความผิด ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ จำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานของโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดไปทีเดียว จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนการทุจริตทางการเงิน ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาทหากไม่มีเจตนาใส่ร้าย และข้อความไม่ทำให้เสียชื่อเสียง
จำเลยซึ่งเป็นครู ได้มีหนังสือร้องเรียนขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนการเงินและการบริหารของโรงเรียน ผู้จัดการและอาจารย์ใหญ่ เพื่อความบริสุทธิ์และเพื่อชื่อเสียงของสถาบันโรงเรียนว่า รายรับรายจ่ายถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ แม้คำร้องจะมีชื่อโจทก์ให้กรรมการสอบสวนบัญชีด้วยก็ตาม คำร้องนั้นก็มิได้กล่าวหาว่าโจทก์ทุจริต ฉ้อโกงเงิน และก็ไม่ได้กล่าวหาว่าบุคคลทั้งสามนี้ร่วมมือกันทุจริตการเงินของโรงเรียน ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
จำเลยได้มีหนังสืออ้างถึงหนังสือฉบับแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยด่วน และให้อายัดเอกสารต่าง ๆ ไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม เป็นการร้องเรียนก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครบังคับเพื่อรักษาผลประโยชน์ขอส่วนรวม เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เป็นการแสดงข้อความและความคิดเห็นโดยสุจริตและชอบธรรมเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปโดยยุติธรรม เพราะจำเลยได้ยื่นคำร้องเรียนไปนานแล้ว จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยได้มีหนังสืออ้างถึงหนังสือฉบับแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยด่วน และให้อายัดเอกสารต่าง ๆ ไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม เป็นการร้องเรียนก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครบังคับเพื่อรักษาผลประโยชน์ขอส่วนรวม เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เป็นการแสดงข้อความและความคิดเห็นโดยสุจริตและชอบธรรมเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปโดยยุติธรรม เพราะจำเลยได้ยื่นคำร้องเรียนไปนานแล้ว จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนการเงินโรงเรียน ไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาท หากไม่มีเจตนาใส่ความ และข้อความไม่ทำให้เสียชื่อเสียง
จำเลยซึ่งเป็นครู ได้มีหนังสือร้องเรียนขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนการเงินและการบริหารของโรงเรียน ผู้จัดการและอาจารย์ใหญ่เพื่อความบริสุทธิ์และเพื่อชื่อเสียงของสถาบันโรงเรียนว่ารายรับรายจ่ายถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ แม้คำร้องจะมีชื่อโจทก์ให้กรรมการสอบสวนบัญชีด้วยก็ตามคำร้องนั้นก็มิได้กล่าวหาว่าโจทก์ทุจริตฉ้อโกงเงิน และก็ไม่ได้กล่าวหาว่าบุคคลทั้งสามนี้ร่วมมือกันทุจริตการเงินของโรงเรียน ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
จำเลยได้มีหนังสืออ้างถึงหนังสือฉบับแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยด่วน และให้อายัดเอกสารต่าง ๆ ไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม เป็นการร้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่มีใครบังคับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เป็นการแสดงข้อความและความคิดเห็นโดยสุจริตและชอบธรรมเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปโดยยุติธรรม เพราะจำเลยได้ยื่นคำร้องเรียนไปนานแล้ว จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยได้มีหนังสืออ้างถึงหนังสือฉบับแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยด่วน และให้อายัดเอกสารต่าง ๆ ไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม เป็นการร้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่มีใครบังคับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เป็นการแสดงข้อความและความคิดเห็นโดยสุจริตและชอบธรรมเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปโดยยุติธรรม เพราะจำเลยได้ยื่นคำร้องเรียนไปนานแล้ว จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนพระสงฆ์ หมิ่นประมาทสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสีย
พระภิกษุในวัดเดียวกันทำหนังสือร้องเรียนต่อสังฆนายกว่า พระภิกษุเจ้าอาวาสประพฤติผิดธรรมวินัยโดยร่วมประเวณีกับหญิง แม้เรื่องที่ร้องเรียนกล่าวหานั้นจะไม่เป็นความจริง แต่ได้ร้องเรียนไปโดยสุจริต โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นความจริง ดังนี้ ไม่มีผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะถือว่าเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนพระสงฆ์หมิ่นประมาท: สุจริตและมีเหตุอันควรเชื่อ ย่อมได้รับการยกเว้นความผิด
พระภิกษุในวัดเดียวกันทำหนังสือร้องเรียนต่อสังฆนายกว่าพระภิกษุเจ้าอาวาสประพฤติผิดธรรมวินัยโดยร่วมประเวณีกับหญิงแม้เรื่องที่ร้องเรียนกล่าวหานั้นจะไม่เป็นความจริง แต่ได้ร้องเรียนไปโดยสุจริต โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นความจริง ดังนี้ ไม่มีผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะถือว่าเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อ ความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโฆษณาดูหมิ่นพระภิกษุ: ศาลลงโทษฐานความผิดที่ถูกต้อง แม้ฟ้องผิดฐาน
คดีที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
โจทก์ฟ้องว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคายผิดวิสัยปัญญาชนของชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ โดยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาทและขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้องศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นและตามฐานความผิดที่ถูกต้อง คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 142 วรรค 4
โจทก์ฟ้องว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคายผิดวิสัยปัญญาชนของชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ โดยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาทและขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้องศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นและตามฐานความผิดที่ถูกต้อง คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 142 วรรค 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโฆษณาดูหมิ่นพระภิกษุ: ศาลลงโทษฐานความผิดตามข้อเท็จจริง แม้ฟ้องผิดฐาน
คดีที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
โจทก์ฟ้องว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคายผิดวิสัยปัญญาชนของชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ โดยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาทและขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้องศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นและตามฐานความผิดที่ถูกต้อง คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
โจทก์ฟ้องว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคายผิดวิสัยปัญญาชนของชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ โดยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาทและขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้องศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นและตามฐานความผิดที่ถูกต้อง คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การคุ้มครองข่าวในศาล vs. การใส่ความเกินจริง
โจทก์ในคดีนี้ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร จำเลยในคดีนี้ได้นำข่าวลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยว่า "อดีตกำนันแนว 5 เป็นลมที่ศาลพยานระบุกลางศาลคบเขมร" และลงเนื้อข่าวต่อไปว่า"กำนันผู้ต้องหาขายชาตินำการเคลื่อนไหวของทางการตำรวจทหารไทยไปเปิดเผยให้เขมรเป็นลมฟุบกลางศาล เมื่อถูกพยานปากสำคัญให้การว่าถูกกำนันใช้ไปติดต่อทหารเขมร...." และดำเนินข่าวต่อไปว่า โจทก์คดีนี้ถูกตำรวจจับกุมและถูกฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา)ข้อความที่จำเลยลงข่าวนี้ เมื่ออ่านดูข้อความทั้งหมดแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการรายงานข่าวเรื่องที่โจทก์คดีนี้ถูกฟ้องในข้อหาว่ากระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร แม้จะเป็นการเขียนข่าวโดยใช้ถ้อยคำให้ผิดเพี้ยนจากที่โจทก์ถูกฟ้องไปบ้าง เช่นใช้คำว่า "แนว5""คนขายชาติ" ก็ตาม แต่ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายทำนองเดียวกับที่โจทก์ถูกฟ้องนั่นเอง ส่วนเรื่องที่จำเลยลงข่าวว่าโจทก์เป็นลมล้มพับลงกลางศาลนั้น ความจริงโจทก์เพียงแต่แถลงต่อศาลว่าปวดศีรษะมากจะเป็นลม แม้จำเลยจะได้แจ้งข่าวเกินเลยความจริงไปบ้างก็ตาม แต่ยังไม่พอที่จะถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ฉะนั้นเนื้อข่าวของจำเลยตอนนี้จึงถือได้ว่าได้แจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 329(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยลงภาพโจทก์และเขียนข้อความลงใต้ภาพของโจทก์ว่า"คนขายชาติอดีตกำนันยีตันยี คนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลับ เมื่อถูกตีแผ่ความผิดถึงกับเป็นลมกลางศาล" ข้อความในตอนนี้เป็นคนละตอนแยกออกต่างหากจากเนื้อข่าวที่กล่าวแล้วในตอนแรก และไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล แต่เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์จำเลยเอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจ ได้ว่าโจทก์เป็นคนขายชาติเป็นคนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลับ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงโจทก์เพียงแต่ถูกฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น เมื่อโจทก์ลงข่าวโดยแสดงความเห็นเสียเองเช่นนี้ จึงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับมาตรา 328 และการลงข่าวตอนนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จึงต้องรับผิดเป็นตัวการในการที่หนังสือพิมพ์จำเลยลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ลงข่าวนี้โดยได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ตามจำเลยที่ 1 หาพ้นผิดไป
จำเลยลงภาพโจทก์และเขียนข้อความลงใต้ภาพของโจทก์ว่า"คนขายชาติอดีตกำนันยีตันยี คนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลับ เมื่อถูกตีแผ่ความผิดถึงกับเป็นลมกลางศาล" ข้อความในตอนนี้เป็นคนละตอนแยกออกต่างหากจากเนื้อข่าวที่กล่าวแล้วในตอนแรก และไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล แต่เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์จำเลยเอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจ ได้ว่าโจทก์เป็นคนขายชาติเป็นคนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลับ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงโจทก์เพียงแต่ถูกฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น เมื่อโจทก์ลงข่าวโดยแสดงความเห็นเสียเองเช่นนี้ จึงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับมาตรา 328 และการลงข่าวตอนนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จึงต้องรับผิดเป็นตัวการในการที่หนังสือพิมพ์จำเลยลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ลงข่าวนี้โดยได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ตามจำเลยที่ 1 หาพ้นผิดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การคุ้มครองการรายงานข่าวศาล vs. ความเห็นส่วนตัว
โจทก์ในคดีนี้ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร จำเลยในคดีนี้ได้นำข่าวลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยว่า "อดีตกำนันแนว 5 เป็นลมที่ศาล พยานระบุกลางศาลคบเขมร" และลงเนื้อข่าวต่อไปว่า "กำนันผู้ต้องหาขายชาตินำการเคลื่อนไหวของทางการตำรวจทหารไทยไปเปิดเผยให้เขมรเป็นลมฟุมกลางศาล เมื่อถูกพยานปากสำคัญให้การว่าถูกกำนันใช้ไปติดต่อทหารเขมร.." และดำเนินข่าวต่อไปว่า โจทก์คดีนี้ถูกตำรวจจับกุมและถูกฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา)ข้อความที่จำเลยลงข่าวนี้ เมื่ออ่านดูข้อความทั้งหมดแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการรายงายข่าวเรื่องที่โจทก์คดีนี้ถูกฟ้องในข้อหาว่ากระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร แม้จะเป็นการเขียนข่าวโดยใช้ถ้อยคำให้ผิดเพี้ยนจากที่โจทก์ถูกฟ้องไปบ้าง เช่นใช้คำว่า "แนว 5" "คนขายชาติ" ก็ตาม แต่ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายทำนองเดียวกับที่โจทก์ถูกฟ้องนั่นเอง ส่วนเรื่องที่จำเลยลงข่าวว่าโจทก์เป็นลมล้มพับลงกลางศาลนั้น ความจริงโจทก์เพียงแต่แถลงต่อศาลว่าปวดศีรษะมากจะเป็นลม แม้จำเลยได้แจ้งข่าวเกินเลยความจริงไปบ้างก็ตาม แต่ยังไม่พอที่จะถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ฉะนั้น เนื้อข่าวของจำเลยตอนนี้จึงถือได้ว่าได้แจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 329(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยลงภาพโจทก์และเขียนข้อความลงใต้ภาพของโจทก์ว่า "คนขายชาติ อดีตกำนันยี ดันยี คนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมร สืบราชการลับ เมื่อถูกตีแผ่ความผิดถึงกับเป็นลมกลางศาล" ข้อความในตอนนี้เป็นคนละตอนแยกออกต่างหากจากเนื้อข่าวที่กล่าวแล้วในตอนแรก และไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล แต่เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์จำเลยเอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนขายชาติเป็นคนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลัม ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงโจทก์เพียงแต่ถูกฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น เมื่อโจทก์ลงข่าวโดยแสดงความเห็นเสียเองเช่นนี้ จึงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับมาตรา 328 และการลงข่าวตอนนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จึงต้องรับผิดเป็นตัวการในการที่หนังสือพิมพ์จำเลยลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ลงข่าวนี้โดยได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ตาม จำเลยที่ 1 หาพ้นผิดไม่.
จำเลยลงภาพโจทก์และเขียนข้อความลงใต้ภาพของโจทก์ว่า "คนขายชาติ อดีตกำนันยี ดันยี คนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมร สืบราชการลับ เมื่อถูกตีแผ่ความผิดถึงกับเป็นลมกลางศาล" ข้อความในตอนนี้เป็นคนละตอนแยกออกต่างหากจากเนื้อข่าวที่กล่าวแล้วในตอนแรก และไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล แต่เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์จำเลยเอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนขายชาติเป็นคนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลัม ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงโจทก์เพียงแต่ถูกฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น เมื่อโจทก์ลงข่าวโดยแสดงความเห็นเสียเองเช่นนี้ จึงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับมาตรา 328 และการลงข่าวตอนนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จึงต้องรับผิดเป็นตัวการในการที่หนังสือพิมพ์จำเลยลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ลงข่าวนี้โดยได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ตาม จำเลยที่ 1 หาพ้นผิดไม่.