คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 328

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 283 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6990/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การพาดหัวข่าวเกินเลยถือเป็นความผิด แม้เนื้อข่าวไม่เกินเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าวันที่23ธันวาคม2532เวลากลางวันจำเลยที่1ใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จโดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ว่า"อย่างไรก็ตามได้รับเอกสารสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าส.ส.พรรครัฐบาลเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งคนงานไปประเทศญี่ปุ่น4คนคือนายไชยยศจิรเมธากร (โจทก์)ส.ส.อุดรธานีนายอุดรทองน้อยส.ส.ยโสธรและนายประณตเสริฐวิชา ส.ส.ร้อยเอ็ดทั้ง4คนเป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ตนมีหลักฐานต่างๆพร้อมแล้วและพร้อมที่จะไปพิสูจน์กันในศาลหากต้องการ"โดยจำเลยที่1มีเจตนาที่จะให้หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์ข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์เพื่อเผยแพร่ต่อประชาชนทั่วไปข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรมว่าโจทก์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งคนงานไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นไม่มีข้อความตอนใดที่บ่งชี้ว่าโจทก์ได้ร่วมกับผู้มีชื่อหลอกลวงคนงานให้ไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นแสดงว่าโจทก์เป็นบุคคลทุจริตหรือประพฤติมิชอบหรือไม่เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ประการใดทั้งไม่อาจเข้าใจได้ว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการฉ้อโกงแรงงานดังกล่าวข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์นั้นยังไม่ถือว่าเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งคนงานไปประเทศญี่ปุ่นและจำเลยที่2นำข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โดยพาดหัวข่าวว่า"แฉ4ส.ส.ประชาธิปัตย์"พัวพันตุ๋นคนงานไปประเทศญี่ปุ่น"ซึ่งข้อความที่พาดหัวข่าวในหนังสือพิพม์ที่จำเลยที่2นำไปลงพิมพ์นั้นไม่ตรงกับข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ทั้งเนื้อข่าวที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวก็ตีพิมพ์แต่เพียงว่าจำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ว่ามีหลักฐานว่าโจทก์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งคนงานไปประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นจำเลยที่2มิได้อ้างข้อความจริงใดเลยในการแสดงความคิดเห็นในการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เช่นนั้นและข้อความที่จำเลยที่2ลงพิมพ์พาดหัวข่าวก็เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ทุกคนเชื่อว่าโจทก์มีส่วนร่วมทุจริตฉ้อโกงแรงงานราษฎรไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำจึงเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังจำเลยที่2จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา328 ศาลล่างทั้งสองให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์โดยไม่ได้ระบุว่าให้โฆษณาคำพิพากษาในลักษณะใดศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ชัดแจ้งและเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยที่3ที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาและจำเลยที่4ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา213และมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4853/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใส่ความทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงทางหนังสือพิมพ์ จำเลยอ้างไม่ได้ว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
จำเลยในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ลงพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับโจทก์ในหนังสือพิมพ์ว่า"ผู้ที่ไปรายงานให้อุปทูตซาอุดีอาระเบียทราบมีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบไปขายเพื่อนให้กับอุปทูต"และข้อความว่า"สาเหตุที่พันตำรวจเอกคนนั้นแอบไปสารภาพไถ่บาปกับอุปทูตเพื่อสร้างความดีความชอบให้กับตนเองพันตำรวจโทสมคิดรู้เต็มอกว่าเพื่อนนายตำรวจในทีมคนไหนแอบใช้มีดปักหลังเพื่อน"กับข้อความว่า"และต่อมานายโมจาเอ็ดเออัลโนไวเซอร์อุปทูตซาอุฯได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษพ.ต.ท.สมคิดบุญถนอม ว่าเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวลึกลับของนายโมฮัมเหม็ดอัลรูไวรี่นักธุรกิจชาวซาอุฯโดยอ้างจากคำบันทึกของพ.ต.อ.เทพรัตน์รัตนวานิช ว่าเป็นผู้รายงานให้ทราบ"ข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการใส่ความว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีโดยนำเรื่องไปบอกอุปทูตซาอุดีอาระเบียเป็นคนขายเพื่อนเพื่อหาความดีให้ตนจึงเป็นกรณีน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับว่าจำเลยไม่ทราบว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ฉะนั้นจำเลยจะอ้างว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยซึ่งมีวิชาชีพของหนังสือพิมพ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4853/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การลงข้อความใส่ความโจทก์โดยไม่ตรวจสอบความจริง
จำเลยในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ลงพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับโจทก์ในหนังสือพิมพ์ว่า "ผู้ที่ไปรายงานให้อุปทูตซาอุดีอาระเบียทราบมีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบไปขายเพื่อนให้กับอุปทูต..." และข้อความว่า "...สาเหตุที่พันตำรวจเอกคนนั้นแอบไปสารภาพไถ่บาปกับอุปทูตเพื่อสร้างความดีความชอบให้กับตนเอง พันตำรวจโทสมคิดรู้เต็มอกว่า เพื่อนนายตำรวจในทีมคนไหนแอบใช้มีดปักหลังเพื่อน..." กับข้อความว่า "...และต่อมานายโมจาเอ็ด เอ อัลโนไวเซอร์ อุปทูตซาอุ ฯ ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.สมคิด บุญถนอมว่าเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวลึกลับของนายโมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุ ฯ โดยอ้างจากคำบันทึกของ พ.ต.อ.เทพรัตน์ รัตนวานิช ว่าเป็นผู้รายงานให้ทราบ..." ข้อความดังกล่าว มีลักษณะเป็นการใส่ความว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี โดยนำเรื่องไปบอกอุปทูตซาอุดีอาระเบีย เป็นคนขายเพื่อนเพื่อหาความดีให้ตน จึงเป็นกรณีน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับว่า จำเลยไม่ทราบว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ฉะนั้น จำเลยจะอ้างว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยซึ่งมีวิชาชีพของหนังสือพิมพ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต่อการหมิ่นประมาทจากบทสัมภาษณ์ แม้ไม่มีเจตนา
แม้จำเลยที่1จะ ไม่มี เจตนา หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมและลงพิมพ์ข้อความไปตามคำสัมภาษณ์ของจำเลยที่2ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบความเป็นไปในพรรคการเมืองนั้นก็ตามแต่เมื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่1เป็น บรรณาธิการลงข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมจำเลยที่1ก็ย่อมมีความผิดในฐานะเป็น ตัวการตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ.2484มาตรา48 ศาลล่างลงโทษปรับจำเลยทั้งสองตาม อัตราโทษของกฎหมายที่ใช้บังคับภายหลังการกระทำผิดซึ่งมีโทษปรับสูงกว่ากฎหมายเดิมจึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองและไม่อาจนำกฎหมายดังกล่าวมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3954/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทกองทัพ: การระบุตัวผู้เสียหายและการตีความข้อความ
ที่จำเลยที่1กล่าวถึงกองทัพบุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงกองทัพใดจะถือว่าจำเลยที่1ใส่ความกองทัพบกโดยเฉพาะหาได้ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทกองทัพบกกองทัพบกจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)ไม่มีสิทธิร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเผยแพร่ข่าวเท็จทำลายชื่อเสียงผู้อื่น มิใช่การติชมด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอาญา
การเสนอข่าวในหนังสือพิมพ์ที่จำเลยที่1เป็น บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาโดยยืนยันข้อเท็จจริงในทำนองว่าโจทก์เกี่ยวพันกับการค้าเฮโรอีนและโจทก์ถูกระงับวีซ่าหรือห้ามเข้าประเทศ สหรัฐอเมริกาและประเทศ ออสเตรเลีย ซึ่งไม่เป็นความจริงมิใช่เพื่อป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนแต่อย่างใดเนื่องจากโจทก์มิได้กระทำการใดๆต่อจำเลยที่1ก่อนเมื่อจำเลยที่1เสนอข่าวยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งไม่เป็นความจริงจึงมิใช่การติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยที่จำเลยที่1ในฐานะประชาชนมีสิทธิทำได้โดยต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิตามกฎหมายของผู้อื่นแต่ข้อความที่หนังสือพิมพ์ที่จำเลยที่1เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาเสนอข่าวนั้นเป็นการเสนอข่าวโดยมุ่งหวังเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งส่อแสดงเจตนาอันไม่สุจริตเนื่องจากได้เสนอข่าวติดต่อกันหลายวันหลายฉบับจำเลยที่1จึงไม่ได้รับยกเว้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา329(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9018/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ ความผิดเกิดที่ไหนฟ้องได้ที่นั่น แม้ถอนฟ้องจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องจำเลยที่1ผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และจำเลยที่2บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้ลงข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่2ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยจึงเป็นความผิดเกี่ยวพันกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา24(2)แม้ว่าจำเลยที่1จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงเทพมหานครแต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ออกวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักรซึ่งรวมทั้งจังหวัดประทุมอันถือว่าความผิดได้เกิดในจังหวัดปทุมธานีด้วยโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่1และที่2ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา22และมาตรา24ศาลจังหวัดปทุมธานีมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่2ก็หามีผลทำให้ศาลจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9018/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลและความผิดเกี่ยวพัน: คดีหมิ่นประมาทจากหนังสือพิมพ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และจำเลยที่ 2 บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้ลงข้อความที่จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย จึงเป็นความผิดเกี่ยวพันกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 24 (2) แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงเทพมหานคร แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ออกวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร ซึ่งรวมทั้งจังหวัดปทุมธานี อันถือว่าความผิดได้เกิดในจังหวัดปทุมธานีด้วย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้ ตามป.วิ.อ. มาตรา 22 และมาตรา 24 ศาลจังหวัดปทุมธานีมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้ แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ก็หามีผลทำให้ศาลจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาท - การระบุตัวบุคคล - การพิสูจน์ความเสียหาย
โจทก์ทั้งสิบเป็นผู้แทนครูและดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการอำนวยการคุรุสภา โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลงบทความในหนังสือพิมพ์ซึ่งมีจำเลยที่ 2เป็นบรรณาธิการหมิ่นประมาทโจทก์สิ้นโดยบรรยายฟ้องว่า กรรมการจำนวนหนึ่งได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เลิกจ้าง ส. เลขาธิการคุรุสภาอ้างว่าเป็นคนสร้างความแตกแยกคนในกระทรวงศึกษาธิการหลายคนได้ยินข่าวผู้แทนครูในคณะกรรมการจำนวนหนึ่งเสนอเลิกจ้าง ส. ถึงกับส่ายหน้าและทุเรศในพฤติการณ์ที่แสดงออก... การแบ่งสัดส่วนจำนวนกรรมการอำนวยการที่ครูหลายกรมยังไม่มีส่วนร่วม...นั้น การที่คำฟ้องโจทก์ที่ระบุว่า กรรมการจำนวนหนึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใดบ้าง ไม่ได้ระบุว่ากรรมการอำนวยการซึ่งเป็นโจทก์ทั้งสิบคนมีพฤติการณ์เช่นนั้นทั้งหมดและไม่อาจทราบได้ว่าเป็นกรรมการอำนวยการคนใด ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ความเพียงว่า ผู้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นกรรมการอำนวยการคุรุสภาจำนวนหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ใดบ้าง ส่วนข้อความในหนังสือพิมพ์ที่ว่า เข้ามาเพื่อคิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง ไม่เคยรักษาผลประโยขน์ของส่วนรวมนั้น ก็เป็นการเท้าความถึงกรรมการอำนวยการที่ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนั่นเอง ซึ่งไม่ทราบแน่นอนว่าเป็นผู้ใด คดีโจทก์จึงไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การใส่ความทำให้เสียชื่อเสียง
ข่าวในหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ. ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค"มีความหมายว่า โจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกงออกเช็คโดยคดโกง มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้
of 29