พบผลลัพธ์ทั้งหมด 95 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6992/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพันแม้ระบุแหล่งเงินชำระหนี้ หากลูกหนี้ผิดนัด ผู้ค้ำประกันต้องชำระหนี้
แม้หนังสือรับสภาพหนี้จะมีข้อความชัดเจนว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ที่บริษัทจำเลยที่ 1 ซื้อวัสดุก่อสร้างจากโจทก์เพื่อนำไปก่อสร้างสถานบริการน้ำมัน โดยจำเลยที่ 2 จะได้รับเงินช่วยเหลือจากบริษัท บ. เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าวแล้วจะชำระเงินให้แก่ห้างฯ โจทก์ทันทีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์และผิดนัด จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันก็มีหน้าที่ต้องชำระหนี้นั้นแก่โจทก์ตามกฎหมาย ส่วนเงินที่นำมาชำระหนี้จะนำมาจากที่ไหนเป็นเรื่องของจำเลยที่ 2 ดังนั้น ข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 2 จะได้รับเงินช่วยเหลือจากบริษัท บ. และนำมาชำระหนี้แก่โจทก์นั้น จึงมีความหมายเพียงว่าเงินที่จำเลยที่ 1 จะนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้มาจากที่ไหนเท่านั้น หาใช่เป็นเงื่อนไขในการชำระหนี้อันจะทำให้โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ชำระหนี้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6459/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ต้องแสดงเจตนาชัดเจน ระบุลูกหนี้ เจ้าหนี้ และการชำระหนี้ มิฉะนั้นไม่ถือเป็นหลักฐานการยอมรับหนี้
การรับสภาพหนี้ของลูกหนี้ต่อเจ้าหนี้โดยทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) นั้น ต้องมีข้อความแสดงเจตนาของลูกหนี้ยอมรับว่าเป็นหนี้ โดยที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องและลูกหนี้ยอมรับในสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้นั้นแล้วจะชำระหนี้ให้ แต่หนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องมีเพียงข้อความระบุจำนวนเดือน วันเดือนปี ดอกเบี้ย ต้นทุนหรือต้นเงิน และคำว่ารวมและมีลายมือชื่อของจำเลยลงไว้ในตอนท้ายเท่านั้น ไม่มีข้อความระบุว่าใครเป็นหนี้อะไรแก่ผู้ใด และตกลงจะชำระหนี้ให้แก่ผู้นั้นหรือไม่อย่างไร จึงยังไม่พอฟังว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6459/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้ต้องแสดงเจตนาชัดเจน ระบุสิทธิเรียกร้องและลูกหนี้ผู้ชำระ
การรับสภาพหนี้ในกรณีที่ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) ต้องมี
ข้อความแสดงเจตนาของลูกหนี้ยอมรับว่าเป็นหนี้ โดยที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องและลูกหนี้ยอมรับในสิทธิเรียกร้องของ
เจ้าหนี้นั้นแล้วจะชำระหนี้ให้ แต่เอกสารของโจทก์ไม่มีข้อความระบุว่าใครเป็นหนี้อะไร แก่ผู้ใด และตกลงจะชำระหนี้ให้แก่ผู้นั้นหรือไม่ อย่างไร มีเพียงข้อความระบุจำนวนเดือน วันเดือนปี ดอกเบี้ย ต้นทุนหรือต้นเงิน และคำว่ารวม กับ
ลายมือชื่อจำเลย ซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นสิทธิเรียกร้องของโจทก์หรือไม่ ในมูลหนี้ใด และจำเลยยอมรับว่าจะชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นแก่โจทก์ จึงไม่เป็นหนังสือแสดงเจตนาของจำเลยในการรับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้อง เอกสารของโจทก์ไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้
ข้อความแสดงเจตนาของลูกหนี้ยอมรับว่าเป็นหนี้ โดยที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องและลูกหนี้ยอมรับในสิทธิเรียกร้องของ
เจ้าหนี้นั้นแล้วจะชำระหนี้ให้ แต่เอกสารของโจทก์ไม่มีข้อความระบุว่าใครเป็นหนี้อะไร แก่ผู้ใด และตกลงจะชำระหนี้ให้แก่ผู้นั้นหรือไม่ อย่างไร มีเพียงข้อความระบุจำนวนเดือน วันเดือนปี ดอกเบี้ย ต้นทุนหรือต้นเงิน และคำว่ารวม กับ
ลายมือชื่อจำเลย ซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นสิทธิเรียกร้องของโจทก์หรือไม่ ในมูลหนี้ใด และจำเลยยอมรับว่าจะชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นแก่โจทก์ จึงไม่เป็นหนังสือแสดงเจตนาของจำเลยในการรับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้อง เอกสารของโจทก์ไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5120/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความและการชำระหนี้บางส่วนหลังขาดอายุความ ไม่ทำให้สะดุดหยุดอายุความ
เมื่อสิทธิเรียกร้องขาดอายุความประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/10และ 193/28 ให้จำเลยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ได้ เมื่อจำเลยไม่ใช้สิทธินั้นโดยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ จึงมีผลเพียงว่า จำเลยจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนไม่ได้เท่านั้นส่วนการรับสภาพหนี้ด้วยการชำระหนี้บางส่วนที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) จะต้องกระทำก่อนที่หนี้นั้นจะขาดอายุความ ดังนั้น การชำระหนี้ของจำเลยภายหลังที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงไม่ใช่การรับสภาพหนี้ ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3266/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดจากเจรจาชดใช้ค่าเสียหาย แม้ยังไม่กำหนดจำนวนเงินแน่นอน
ช.ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายกับผู้เสียหายทุกคน แล้วรับข้อเสนอของผู้เสียหายแต่ละคนที่ได้เรียกร้องค่าเสียหายตามจำนวนที่ระบุไว้ในบันทึกเพื่อนำไปเสนอจำเลยที่ 2 พิจารณาจำนวนเงินที่ผู้เสียหายแต่ละคนเรียกร้องอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับตามบันทึกเกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหาย ช. ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่า จำเลยที่ 2 จะรับผิดชอบค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายตามความเป็นจริงเท่านั้น จากบันทึกทั้งสองฉบับมีความหมายว่า ช. ได้ตกลงยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายทุกคนตามที่ได้รับมอบหมายอำนาจจากจำเลยที่ 2 แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดจำนวนเงินแน่นอนที่จะจ่ายให้แก่ผู้เสียหายแต่ละคนเท่านั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) แล้ว จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนับแต่วันทำบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์ทราบจากพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 2 ปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เมื่อนับแต่วันทราบดังกล่าวถึงวันฟ้องฟังไม่เกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความและการรับสภาพหนี้: เช็คจากบริษัทอื่นชำระหนี้ไม่ทำให้บริษัทนั้นเป็นผู้ชำระหนี้จริง และการรับสภาพหนี้ทำให้เริ่มนับอายุความใหม่
สำเนาบันทึกการรับเช็คซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2539 มีข้อความว่าโจทก์ได้รับเช็คของบริษัท พ. จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการนำมามอบชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์นั้นถือเป็นการชำระหนี้โดยจำเลยที่ 1 แม้จะชำระด้วยเช็คของบริษัท พ. ก็ไม่ถือว่าบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ชำระหนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้เมื่อวันที่ 29พฤษภาคม 2539 อายุความจึงสะดุดหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ ต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1) และ 193/15 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เรียกค่าซื้อสินค้าจากจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2541 ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่29 พฤษภาคม 2539 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยเช็คของบุคคลอื่น และผลกระทบต่ออายุความทางแพ่ง
สำเนาบันทึกการรับเช็คซึ่งมีข้อความว่า โจทก์ได้รับเช็คของบริษัท พ. จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการนำมามอบชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์นั้นเป็นการชำระหนี้โดยจำเลยที่ 1 แม้จะชำระด้วยเช็คของบริษัท พ. ก็ไม่ถือว่าบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ชำระหนี้ กรณีต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2539 อายุความจึงสะดุดหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น ตามป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และ 193 (15) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2541 ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2539 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความขาด เมื่อการหักเงินจากบัญชีที่ไม่ได้รับความยินยอม ไม่ถือเป็นการรับสภาพหนี้
ใบสมัครบัตรวีซ่า ซึ่งจำเลยที่ 1 ระบุในช่องการชำระเงินว่าให้โจทก์หักจากบัญชีประเภทออมทรัพย์ สาขาเขาย้อย โดยระบุหมายเลขบัญชีไว้ และจำเลยที่ 1ยังมีหนังสือแจ้งผู้จัดการโจทก์ สาขาเขาย้อย ให้หักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ดังกล่าวในการชำระค่าสินค้าและบริการที่เกิดจากการใช้บัตรวีซ่าด้วย ทั้งตามใบแจ้งยอดบัญชีโจทก์ก็แจ้งจำเลยที่ 1 ว่าจะตัดบัญชีตามหมายเลขบัญชีที่ระบุไว้ในใบสมัคร ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตามหมายเลขบัญชีดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีประเภทอื่น การที่โจทก์หักเงินจากบัญชีอื่นโดยที่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมจึงเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าโจทก์หักเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ครั้งสุดท้ายในวันที่มีการหักเงินออกจากบัญชีดังกล่าวโดยชอบ อันจะเป็นการรับสภาพหนี้ที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(1) เมื่อเริ่มนับอายุความใหม่จนถึงวันฟ้อง เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปีคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้บัตรเครดิต: เริ่มนับใหม่เมื่อมีการรับสภาพหนี้ แม้โจทก์ผ่อนผันการบังคับสิทธิ
หลังจากที่จำเลยชำระหนี้ตามบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดบางส่วนให้ธนาคารโจทก์ในครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อจากนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวของโจทก์อีกเลยทั้งโจทก์เองก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่จำเลยต่อไปด้วย ใบแจ้งยอดบัญชีที่โจทก์ส่งให้จำเลยในแต่ละเดือนต่อมาก็ล้วนแต่เป็นการคิดบวกรวมดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัด เบี้ยปรับที่จำเลยชำระหนี้ล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น การที่โจทก์ยังให้โอกาสจำเลยนำเงินมาชำระโจทก์ต่อไปอีก จึงมิได้หมายความว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ติดค้างโดยทันที เพียงแต่โจทก์ผ่อนผันไม่บังคับสิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเท่านั้น ซึ่งเห็นได้จากการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ชำระหนี้ล่าช้าเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามวันที่ถึงกำหนดชำระตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงสามารถบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดได้ทันทีตามใบแจ้งยอดบัญชี อายุความจึงเริ่มนับอีกครั้งเมื่อจำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายตามหนี้บัตรเครดิตแต่ละใบ ซึ่งเป็นการรับสภาพหนี้อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้วเริ่มนับอายุความใหม่ มิใช่เริ่มนับแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้จำเลยค้างชำระหนี้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9736/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดเมื่อจำเลยยอมรับสภาพหนี้ และเริ่มนับใหม่เมื่อศาลมีคำสั่ง
จำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ เมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยยอมรับรู้สิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทและได้ยื่นคำร้องต่อศาลในคดีดังกล่าวยอมรับว่าที่ดินพิพาทที่นำยึดเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยและขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลย ได้กระทำการอันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนั้นแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14(1) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตาม มาตรา193/15 เมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย วันที่ 18 กรกฎาคม 2539 เป็นเหตุที่ทำให้ อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดในวันดังกล่าวตาม มาตรา 193/15 จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2539โจทก์มาฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้ วันที่ 4 กันยายน 2539 ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ