พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,595 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารจ่ายเช็คที่ถูกแก้ไข ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับผิดเกินจำนวนเดิม
ผู้มีเงินฝากในธนาคารได้สั่งให้ธนาคารจ่ายเงินในบัญชีของตนโดยออกเช็ค กรอกจำนวนเงินลงไปจำนวนหนึ่งภายหลังปรากฏว่าเช็คฉบับนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขจำนวนเงินที่สั่งจ่ายให้มากขึ้นโดยผู้สั่งจ่ายไม่ทราบและธนาคารได้จ่ายเงินไปตามเช็คที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้นแล้วดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายเช็คได้ละเลยในการระมัดระวังที่จะไม่ให้มีการปลอมแปลงเช็คนั้นอย่างไรแล้วธนาคารจะเรียกร้องให้ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่ปลอมแปลงนั้นหาได้ไม่ จะเรียกได้แต่เฉพาะจำนวนเงินเดิมแห่งเช็คนั้นเท่านั้นเพราะอาจอนุโลมถือได้ว่าสิทธิของธนาคารต่อผู้เคยค้าที่สั่งจ่ายเป็นเสมือนผู้ทรง ต่อผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจมอบฉันทะและการรับผิดในหนี้: บุตรทำสัญญาแทนมารดา มารดารับผิดชอบหนี้
มารดามอบอำนาจให้บุตรไปทำสัญญาจำนองที่ดินและโรงเรือนไว้กับเขาต่อมาได้มีการผ่อนชำระและบุตรได้ทำสัญญารับรองหนี้ที่ค้างให้ไว้ส่วนสัญญาจำนองขอรับคืนไปเช่นนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า การที่บุตรทำสัญญารับรองหนี้ที่ค้างให้เขาไว้ก็เป็นการทำแทนมารดาตามหนังสือมอบอำนาจนั้นเองฉะนั้นมารดาจึงต้องรับผิดใช้หนี้ที่ค้างนั้นแก่เขา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในหนี้จากการทำสัญญาแทนเจ้าของตามหนังสือมอบอำนาจ
มารดามอบอำนาจให้บุตรไปทำสัญญาจำนองที่ดินและโรงเรือนไว้กับเขา ต่อมาได้มีการผ่อนชำระและบุตรได้ทำ
สัญญารับรองหนี้ที่ค้างไว้ ส่วนสัญญาจำนองขอรับคืนให้ไป เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า การที่บุตรทำสัญญารับรอง
หนี้ที่ค้างให้เขาไว้.ก็เป็นการทำแทนมารดาตามหนังสือมอบอำนาจนั้นเอง ฉะนั้นมารดาจึงต้องรับผิดใช้หนี้ที่ค้าง
นั้นแก่เขา.
สัญญารับรองหนี้ที่ค้างไว้ ส่วนสัญญาจำนองขอรับคืนให้ไป เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า การที่บุตรทำสัญญารับรอง
หนี้ที่ค้างให้เขาไว้.ก็เป็นการทำแทนมารดาตามหนังสือมอบอำนาจนั้นเอง ฉะนั้นมารดาจึงต้องรับผิดใช้หนี้ที่ค้าง
นั้นแก่เขา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานสมคบกันฆ่า และการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ศาลฎีกาพิจารณาถึงความผิดของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249 จำคุกคนละ 15 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ผิด จึงให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1คงพิพากษายืน ดังนี้
แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 อย่างเดียว ส่วนจำเลยที่ 1ไม่ติดใจฎีกาแล้วก็ตามเมื่อศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า เป็นเรื่องป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุอันเป็นเหตุลักษณะคดีแล้วศาลฎีกาย่อมพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐานป้องกันเกินสมควรแก่เหตุด้วยได้
แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 อย่างเดียว ส่วนจำเลยที่ 1ไม่ติดใจฎีกาแล้วก็ตามเมื่อศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า เป็นเรื่องป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุอันเป็นเหตุลักษณะคดีแล้วศาลฎีกาย่อมพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐานป้องกันเกินสมควรแก่เหตุด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและสมคบคิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 249 จำคุกคนละ 15 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้
ว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ผิด จึงให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 คงพิพากษายืน ดังนี้
แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 อย่างเดียว ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจฎีกาแล้วก็ตาม เมื่อศาลฎีกาพิจารณาเห็น
ว่า เป็นเรื่องป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นเหตุลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐาน
ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุด้วยได้./
ว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ผิด จึงให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 คงพิพากษายืน ดังนี้
แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 อย่างเดียว ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจฎีกาแล้วก็ตาม เมื่อศาลฎีกาพิจารณาเห็น
ว่า เป็นเรื่องป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นเหตุลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐาน
ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุด้วยได้./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้ข้อเท็จจริงไม่สนับสนุนความผิดฐานชิงทรัพย์
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันกระทำการชิงทรัพย์ โดยจำเลยใช้มีดฟันและเตะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถูก
ตามร่างกายหลายแห่งเป็นบาดแผลปรากฎตามใบชัณสูตรทั้งนี้เพื่อให้เป็นความสดวกที่จะลักทรัพย์แล้วจำเลยได้ชิงทรัพย์ผู้เสียหาย-ไปหลายอย่าง ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 300,254,63 ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงใน
ทางพิจารณาจะฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254 ได้./
ตามร่างกายหลายแห่งเป็นบาดแผลปรากฎตามใบชัณสูตรทั้งนี้เพื่อให้เป็นความสดวกที่จะลักทรัพย์แล้วจำเลยได้ชิงทรัพย์ผู้เสียหาย-ไปหลายอย่าง ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 300,254,63 ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงใน
ทางพิจารณาจะฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254 ได้./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย แม้ข้อกล่าวหาชิงทรัพย์ไม่เป็นผล
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันกระทำการชิงทรัพย์โดยจำเลยใช้มีดฟันและเตะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถูกตามร่างกายหลายแห่งเป็นบาดแผลปรากฏตามใบชันสูตรทั้งนี้เพื่อให้เป็นความสะดวกที่จะลักทรัพย์แล้วจำเลยได้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายไปหลายอย่าง ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 300,254,63 ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจะฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ด้วยศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 254 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องอาญาเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ แม้อุทธรณ์เกินกำหนดและศาลแก้โทษตามอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 และฐานปลอมหนังสือตามมาตรา230
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา 131 ฐานเดียวแต่ฟังว่าจำเลยยักยอกเงินไม่เต็มตามที่ฟ้องจึงให้คืนเท่าที่จำเลยยักยอก
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์.คือจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยยักยอกเงินเต็มตามฟ้อง และปลอมหนังสือด้วยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยยักยอกเงินจำนวนมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้จึงพิพากษาแก้ให้ใช้จำนวนเงินมากขึ้นและแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 230 ด้วย ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่รับไว้พิจารณา เพราะถือว่ายื่นเกินกำหนดดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยและศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำเลยตามอุทธรณ์ของโจทก์จำเลยจึงฎีกาขึ้นมาได้และเมื่อทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องเสียได้
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา 131 ฐานเดียวแต่ฟังว่าจำเลยยักยอกเงินไม่เต็มตามที่ฟ้องจึงให้คืนเท่าที่จำเลยยักยอก
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์.คือจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยยักยอกเงินเต็มตามฟ้อง และปลอมหนังสือด้วยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยยักยอกเงินจำนวนมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้จึงพิพากษาแก้ให้ใช้จำนวนเงินมากขึ้นและแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 230 ด้วย ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่รับไว้พิจารณา เพราะถือว่ายื่นเกินกำหนดดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยและศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำเลยตามอุทธรณ์ของโจทก์จำเลยจึงฎีกาขึ้นมาได้และเมื่อทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่มั่นคง และการพิจารณาอุทธรณ์ที่เกินกำหนด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 และฐานปลอมหนังสือตามมาตรา
230.
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา 131 ฐานเดียว แต่ฟังว่าจำเลยยักยอกเงินไม่เต็มตามที่ฟ้องจึงให้คืนเท่าที่จำเลย
ยักยอก.
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์คือจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยยักยอกเงินเต็มตามฟ้อง และ
ปลอมหนังสือด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยยักยอกเงินจำนวนมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ จึงพิพากษา
แก้ให้ใช้จำนวนเงินมากขึ้น และแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 230 ด้วย ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่รับไว้
พิจารณา เพราะถือว่ายื่นเกินกำหนด ดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยและศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำเลย
ตามอุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยจึงฎีกาขึ้นมาได้ และเมื่อทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจ
ยกฟ้องเสียได้./
230.
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา 131 ฐานเดียว แต่ฟังว่าจำเลยยักยอกเงินไม่เต็มตามที่ฟ้องจึงให้คืนเท่าที่จำเลย
ยักยอก.
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์คือจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยยักยอกเงินเต็มตามฟ้อง และ
ปลอมหนังสือด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยยักยอกเงินจำนวนมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ จึงพิพากษา
แก้ให้ใช้จำนวนเงินมากขึ้น และแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 230 ด้วย ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่รับไว้
พิจารณา เพราะถือว่ายื่นเกินกำหนด ดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยและศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำเลย
ตามอุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยจึงฎีกาขึ้นมาได้ และเมื่อทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจ
ยกฟ้องเสียได้./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แย่งการครอบครองที่ดิน: ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งคนละครึ่ง เพราะไม่สามารถระบุเจ้าของที่ชัดเจน
ที่ดินมือเปล่าซึ่งโจทก์จำเลยต่างแย่งกันครอบครองอยู่นั้น จะฟังว่าเป็นของฝ่ายใดโดยเฉพาะไม่ถนัดศาลพิพากษาให้แบ่งคนละครึ่ง