คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยทัณฑ์ชนาณัติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,595 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสูญเสียสัญชาติไทยด้วยการรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและการฟ้องคดีไม่ขาดอายุความ
บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยแต่บิดาเป็นคนต่างด้าวนั้น เมื่อจำเลยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้ว ย่อมขาดจากสัญชาติไทย ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 ม.5 ไม่ ว่าจะได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวก่อนหรือหลังวัน พ.ร.บ.นั้นใช้บังคับ
การที่จำเลยให้การว่าได้เอาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปคืนให้แก่อำเภอ 7-8 ปีแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานอะไร ดังนี้ ก็ย่อมไม่มีเหตุจำเป็นที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) 2496 ม.5 ใช้บังคับเมื่อ 4 ก.พ. 96 จำเลยมีหน้าที่ต้องไปขอใบสำคัญประจำตัวภายใน 30 วันนับแต่วันรู้หรือควรจะรู้ว่าตนได้สูญเสียสัญชาติไทยโจทก์มาฟ้องเมื่อ 15 ก.พ. 97 ดังนี้ยังหาขาดอายุความไม่ เพราะฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ จำเลยไม่ไปขอใบสำคัญประจำตัวภายในกำหนด ที่ ก.ม. บังคับไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสูญเสียสัญชาติไทยหลังได้รับใบสำคัญคนต่างด้าว และอายุความฟ้องร้อง
บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยแต่บิดาเป็นคนต่างด้าวนั้น เมื่อจำเลยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้ว ย่อมขาดจากสัญชาติไทย ตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่ 2)พ.ศ.2496 มาตรา 5 ไม่ว่าจะได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวก่อนหรือหลังวัน พระราชบัญญัตินั้นใช้บังคับ
การที่จำเลยให้การว่าได้เอาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปคืนให้แก่อำเภอ 7-8 ปีแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานอะไร ดังนี้ ก็ย่อมไม่มีเหตุจำเป็นที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2)2496 มาตรา 5 ใช้บังคับเมื่อ 4 ก.พ. 2496 จำเลยมีหน้าที่ต้องไปขอใบสำคัญประจำตัวภายใน 30 วันนับแต่วันรู้หรือควรจะรู้ว่าตนได้สูญเสียสัญชาติไทยโจทก์มาฟ้องเมื่อ 15 ก.พ. 2497 ดังนี้ยังหาขาดอายุความไม่ เพราะฟ้องภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่จำเลยไม่ไปขอใบสำคัญประจำตัวภายในกำหนดที่กฎหมายบังคับไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 972/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินร่วม (ที่ดิน) โดยศาลเมื่อตกลงกันไม่ได้ ศาลมีอำนาจแบ่งตามส่วนโดยมิชักช้า
ที่ดินหลายโฉนดแต่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน แต่ละโฉนดเป็นของเจ้าของร่วมสองคนเมื่อศาลเห็นว่าการแบ่งที่ดินอาจทำได้โดยไม่เสียหายศาลอาจสั่งให้แบ่งให้เจ้าของร่วมคนหนึ่งได้ที่ดินโฉนดหนึ่งทั้งโฉนด และให้อีกคนหนึ่งได้อีกสองโฉนดก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 972/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินรวม (ที่ดิน) ศาลมีอำนาจสั่งแบ่งตามส่วนโดยมิทำให้เสียหายแก่ทรัพย์สิน หรือชดใช้เป็นเงิน
ที่ดินหลายโฉนดแต่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน แต่ละโฉนดเป็นของเจ้าของร่วมสองคน เมื่อศาลเห็นว่าการแบ่งที่ดินอาจทำได้โดยไม่เสียหาย ศาลอาจสั่งให้แบ่งให้เจ้าของร่วมคนหนึ่งได้ที่ดินโฉนดหนึ่งทั้งโฉนด และให้อีกคนหนึ่งได้อีกสองโฉนดก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และการสมคบใช้กำลังประทุษร้าย
การที่จำเลยที่ 3 พาพวกมีอาวุธกลับมาและขึ้นไปบนเรือนพร้อมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ถือปืนยาวแล้วหยิบปืนลูกซองอีกกระบอกส่งให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3บรรจุกระสุนเล็งมาทางเจ้าพนักงานสรรพสามิต เจ้าพนักงานสรรพสามิต หลบเข้าใต้ถุนและไปห่างราว 10 วาก็มีเสียงปืนลั่นมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 ติด ติด กัน 2 นัดเมื่อลั่นนัดแรกเจ้าพนักงานผู้นั้นหันไปเห็นจำเลยที่ 1 ประทับปืนอยู่ พฤติการณ์ดังนี้ย่อมถือว่าจำเลยที่ 3เป็นพรรคพวกของจำเลยที่ 1 และร่วมสมคบใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานฯ ด้วย
นายตรวจสรรพสามิตทำการตรวจค้นบ้านจำเลยในข้อหาว่ามีสุราผิดกฎหมายตามหมายค้นของผู้ว่าราชการจังหวัดถือได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาจะฆ่าหากแต่กระสุนไม่ถูกที่หมาย ดังนี้จำเลยย่อมมีผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเพราะการกระทำการตามหน้าที่ตาม มาตรา 25037,60
ความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาตาม มาตรา 250(2) เป็นอุกฤษฎ์โทษกฎหมายบัญญัติให้ประหารชีวิตแต่สถานเดียว เมื่อจะลงโทษจำเลยเพียง2 ใน 3 ส่วน ตาม มาตรา 60 ต้องถือเกณฑ์ส่วนลดตาม มาตรา 37(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และการลดโทษตาม ม.37
การที่จำเลยที่ 3 พาพวกมีอาวุธกลับมาและขึ้นไปบนเรือนพร้อมกับจำเลยที่ 1 ๆ ถือปืนยาวแล้วหยิบปืนลูกซองอีกกระบอกให้จำเลยที่ 3 ๆ บรรจุกระสุนเล็งมาทางเจ้าพนักงานสรรพสามิต ๆ หลบเข้าใต้ถุนและไปห่างราว 10 วาก็มีเสียงปืนลั่นมาจากทางบ้าน จำเลยที่ 1 ติด ๆ กัน 2 นัด เมื่อลั่นนัดแรกเจ้าพนักงานผู้นั้นหันไปเห็นจำเลยที่ 1 ประทับปืนอยู่ พฤติการณ์ดังนี้ย่อมถือว่า่จำเลยที่ 3 เป็นพรรคพวกของจำเลยที่ 1 และร่วมสบคบให้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงาน ๆ ด้วย
นายตรวจสรรพสามิตทำการตรวจค้นบ้านจำเลยในข้อหาว่ามีสุราผิด ก.ม. ตามหมายค้นของผู้ว่าราชการจังหวัด ถือได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาจะฆ่าหากแต่กระสุนไม่ถูกที่หมาย ดังนี้จำเลยย่อมมีผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เพราะการที่กระทำการตามหน้าที่ตาม ม.250(2),60
ความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาตาม ม. 250 (2) เป็นอุกฤษโทษ ก.ม.บัญญัติให้ประหารชีวิตแต่สถานเดียว เมื่อจะลงโทษจำเลยเพียง 2 ใน 3 ส่วน ตาม ม.60 ต้องถือเกณฑ์ส่วนลดตาม ม. 37(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดเว้นการตรวจสถานที่เกิดเหตุของศาล: ศาลฎีกาตัดสินว่าการพิจารณาเรื่องการตรวจสถานที่เกิดเหตุเป็นอำนาจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย
เกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุโจทก์ว่าเกิดที่แห่งหนึ่ง จำเลยว่าเกิดที่อีกแห่งหนึ่ง จำเลยจึงขอร้องให้ศาลไปเผชิญสืบศาลชั้นต้นสั่งว่าข้อเท็จจริงในสำนวนของทั้งสองฝ่ายเป็นการที่ศาลเข้าใจดีแล้วไม่จำเป็นต้องออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุฉนั้นในข้อที่ศาลจะไปเผชิญสืบสถานที่เกิดเหตุหรือไม่นี้จึงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงไม่ใช้ข้อ ก.ม. เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม. 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดเว้นการเผชิญสืบสถานที่เกิดเหตุ: ศาลมีอำนาจพิจารณาตามข้อเท็จจริงในสำนวน
เกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุโจทก์ว่าเกิดที่แห่งหนึ่ง จำเลยว่าเกิดที่อีกแห่งหนึ่ง จำเลยจึงขอร้องให้ศาลไปเผชิญสืบ ศาลชั้นต้นสั่งว่าข้อเท็จจริงในสำนวนของทั้งสองฝ่ายเป็นการที่ศาลเข้าใจดีแล้วไม่จำเป็นต้องออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุ ฉะนั้นในข้อที่ศาลจะไปเผชิญสืบสถานที่เกิดเหตุหรือไม่นี้จึงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงไม่ใช้ข้อกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบิดาต่อการกระทำละเมิดของผู้เยาว์ และการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรถยนต์ที่เสียหายและเสื่อมราคา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า "การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อบท ก.ม. เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ต้องเสียหายคิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 18,072 บาท 05 สตางค์ และแม้จะซ่อมแซมก็เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสื่อมราคาจากเดิมคิดเป็นเงิน 4,000 บาท "ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ในข้อที่อ้างว่ารถเสื่อมราคานั้นได้แสดงออกโดยชัดแจ้งพอที่จะให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้ชัดเจนดีพอแล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การที่บิดาปล่อยให้บุตรผู้เยาว์ขับรถยนต์ไปเที่ยวเสมอและในครั้งเกิดเหตุก็ขับรถยนต์ไปกับเพื่อน บิดารู้เห็นก็มิได้ห้ามตักเตือนจนขับรถไปทำให้ผู้อื่นเสียหายดังนี้ ย่อมถือได้ว่าบิดาพิสูจน์ไม่ได้ว่าคนใดใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่บิดาผู้ปกครองบุตรอยู่โดยปกติ จึงต้องรับผิดร่วมกับบุตร ตาม ม. 429

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบิดาต่อการกระทำละเมิดของบุตรผู้เยาว์ และความชัดเจนของฟ้องคดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อบทกฎหมายเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ต้องเสียหายคิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 18,072 บาท 05 สตางค์ และแม้จะซ่อมแซมก็เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสื่อมราคาจากเดิมคิดเป็นเงิน 4,000 บาท"ดังนี้ฟ้องของโจทก์ในข้อที่อ้างว่ารถเสื่อมราคานั้นได้แสดงออกโดยชัดแจ้งพอที่จะให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้ชัดเจนดีพอแล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การที่บิดาปล่อยให้บุตรผู้เยาว์ขับรถยนต์ไปเที่ยวเสมอและในครั้งเกิดเหตุก็ขับรถยนต์ไปกับเพื่อน บิดารู้เห็นก็มิได้ห้ามตักเตือนจนขับรถไปทำให้ผู้อื่นเสียหาย ดังนี้ย่อมถือได้ว่าบิดาพิสูจน์ไม่ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่บิดาผู้ปกครองบุตรอยู่โดยปกติ จึงต้องรับผิดร่วมกับบุตรตาม มาตรา 429
of 260