พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,595 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1501/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการพิพากษายกฟ้องต่อจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ในคดีหนี้ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลย 2 คนชำระหนี้เงินตามสัญญากู้จำเลยคนหนึ่งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยคนนั้นฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่เชื่อพยานหลักฐานของโจทก์พิพากษายกฟ้อง จำเลยคนที่ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา ก็ย่อมได้รับผลตามคำพิพากษาด้วย ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม.245(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1501/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาต่อจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในคดีหนี้สิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลย 2 คนชำระหนี้เงินตามสัญญากู้จำเลยคนหนึ่งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยคนนั้นฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่เชื่อพยานหลักฐานของโจทก์พิพากษายกฟ้อง จำเลยคนที่ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา ก็ย่อมได้รับผลตามคำพิพากษาด้วย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาเซ้ง/โอนการเช่าห้อง: คำรับรองระยะเวลาเช่าเป็นสาระสำคัญของสัญญา
ผู้เช่าเดิมได้เซ้งหรือโอนสิทธิการเช่าห้องให้แก่บุคคลอื่น โดยให้คำรับรองว่าจะเช่าอยู่ได้ 5 ปี อันเป็นวัตถุประสงค์สำคัญสำหรับการรับเซ้งและรับโอนการเช่านี้ เมื่อผู้รับโอนไม่ได้อยู่ในห้องตามระยะเวลาที่ผู้เช่าเดิมรับรองไว้ โดยถูกฟ้องขับไล่ ดังนี้ถือได้ว่าผู้เช่าเดิมผิดคำรับรองอันต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้รับโอน และกรณีไม่เข้าอยู่ในบทมาตรา 119 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะไม่ใช่เรื่องแสดงเจตนาอันทำด้วยสำคัญผิดแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับรองการเช่าเป็นสัญญาผูกพัน หากไม่เป็นไปตามที่รับรอง ถือเป็นความผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหาย
ผู้เช่าเดิมได้เซ้งหรือโอนสิทธิการเช่าห้องให้แก่บุคคลอื่น โดยให้คำรับรองว่าจะเช่าอยู่ได้ 5 ปี อันเป็นวัตถุประสงค์สำคัญสำหรับการรับเซ้งและรับโอนการเช่านี้ เมื่อผู้รับโอนไม่ได้อยู่ในห้องตามระยะเวลาที่ผู้เช่าเดิมรับรองไว้ โดยถูกฟ้องขับไล่ ดังนี้ถือได้ว่าผู้เช่าเดิมผิดคำรับรองอันต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้รับโอน และกรณีไม่เข้าอยู่ในบทมาตรา 119 แห่ง ป.พ.พ.เพราะไม่ใช่เรื่องแสดงเจตนาอันทำด้วยสำคัญผิดแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาอาศัยอำพรางการเช่าช่วง: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยอาศัยห้องเพื่ออำพรางการที่โจทก์ให้จำเลยเช่าช่วง ดั่งนี้โจทก์จะนำเอาสัญญาอาศัยมาฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้อาศัยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาอำพราง: สัญญาอาศัยใช้บังคับกับผู้เช่าช่วงจริงไม่ได้
โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยอาศัยห้องเพื่ออำพรางการที่โจทก์ให้จำเลยเช่าช่วงดั่งนี้โจทก์จะนำเอาสัญญาอาศัย มาฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้อาศัยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมัครใจวิวาท-ป้องกัน: การประเมินเหตุแห่งการกระทำเมื่อเกิดการต่อสู้ ผู้เงื้อก่อนไม่สำคัญ
สมัครใจวิวาท ไม่เป็นป้องกัน ใครเงือดเงื้อลงมือทำร้ายก่อนไม่สำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิ และเริ่มนับใหม่เมื่อคดีถึงที่สุด
โจทก์เช่าเครื่องฉายภาพยนต์จากนายลิขิต มาฉายโรงภาพยนต์ของจำเลย ต่อมานายลิขิตบอกเลิกสัญญากับโจทก์ ๆ เรียกคืนจากจำเลย ๆ ไม่ยอมคืนนายลิขิตจึงฟ้องโจทก์ ๆ ได้ขอให้ศาลเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องให้เสร็จสิ้นไป คดีถึงที่สุดชั้นฎีกาพิพากษาให้โจทก์และจำเลยส่งคืนแก่นายลิขิต โดยไม่ชี้ขาดสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์และจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะว่ากล่าวแก่จำเลย ดังนี้ อายุความฟ้องคดีย่อมสดุดหยุดลง จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตาม ป.พ.พ.ม.173,175,และ 181 และเมื่อโจทก์มาฟ้องคดีนี้หลังคดีก่อนถึงที่สุดเพียง 3-4 เดือนคดีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิ แม้คดีก่อนจะยังไม่ได้ชี้ขาดสิทธิระหว่างโจทก์และจำเลย
โจทก์เช่าเครื่องฉายภาพยนต์จากนายลิขิตมาฉายโรงภาพยนต์ของจำเลย ต่อมานายลิขิตบอกเลิกสัญญากับโจทก์ โจทก์เรียกคืนจากจำเลยจำเลยไม่ยอมคืน นายลิขิตจึงฟ้องโจทก์ โจทก์ได้ขอให้ศาลเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องให้เสร็จสิ้นไป คดีถึงที่สุด ชั้นฎีกาพิพากษาให้โจทก์และจำเลยส่งคืนแก่นายลิขิต โดยไม่ชี้ขาดสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์และจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะว่ากล่าวแก่จำเลย ดังนี้อายุความฟ้องคดีนี้ย่อมสดุดหยุดลง จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173,175, และ 181 และเมื่อโจทก์มาฟ้องคดีนี้หลังคดีก่อนถึงที่สุดเพียง 3-4 เดือนคดีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีเงินได้จากเงินปันผลของบริษัทต่างชาติ: การคำนวณสัดส่วนรายได้และดอกเบี้ย
บริษัทจำกัดซึ่งตึ้งขึ้นตาม ก.ม.ต่างประเทศและได้กระทำกิจการในประเทศไทยด้วย จะต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินปันผล โดยคิดเทียบส่วนยอดเงินได้ก่อนหักรายจ่ายที่ได้จากกิจการในประเทศไทยกับยอดเงินได้ก่อนหักรายจ่ายทั้งหมดเป็นเกณฑ์คำนวนว่าจะต้องแบ่งเงินปันผลทั้งหมดออกเป็นอัตราส่วนเท่าใดต่อเท่าใดแล้วใช้อัตราส่วนนี้แบ่งเงินปันผลออกเป็นเงินปันผลภายนอก และภายในประเทศเงินปันผลในประเทศที่คิดคำนวนได้นี้เท่านั้น เป็นเงินได้อันต้องประเมินเสียภาษีตาม ม.65
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้เรียกเก็บภาษีจากผู้เสียภาษีเงินได้เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติให้เรียกเก็บ ศาลพิพากษาให้เจ้าพนักงานนั้นคืนค่าภาษีที่เรียกเก็บไว้เกินไปศาลก็อาจพิพากษาให้เจ้าพนักงานประเมินนั้น เสียดอกเบี้ยในจำนวนภาษีที่เรียกเกินไปตามที่ผู้เสียภาษีได้ฟ้องขอให้บังคับได้
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้เรียกเก็บภาษีจากผู้เสียภาษีเงินได้เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติให้เรียกเก็บ ศาลพิพากษาให้เจ้าพนักงานนั้นคืนค่าภาษีที่เรียกเก็บไว้เกินไปศาลก็อาจพิพากษาให้เจ้าพนักงานประเมินนั้น เสียดอกเบี้ยในจำนวนภาษีที่เรียกเกินไปตามที่ผู้เสียภาษีได้ฟ้องขอให้บังคับได้