คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยทัณฑ์ชนาณัติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,595 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากชกต่อยเป็นทำร้ายด้วยปืน: ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์ที่ใกล้เคียงกันและลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
ใช้ปืนสั้นตีเขามีบาดแผลฟกช้ำโลหิตขับที่ใต้ขมับขวา 1แห่ง ฟกซ้ำที่แก้ซ้าย 3 แห่งและที่ข้อมือซ้ายถูกของมีคมอีก 1 แห่ง ย่อมถือได้ว่าเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยใช้ปืนสั้นตีผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้การชกต่อยกับการใช้ปืนสั้นตีเป็นกิริยาอาการที่ใกล้ชิดกัน ยังไม่พอจะชี้ขาดว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับยกฟ้องตาม ป.วิ.อาญามาตรา 192
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยข้อกฎหมายว่าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง แม้ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องในข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากชกต่อยเป็นทำร้ายด้วยอาวุธ แม้ต่างจากฟ้องแต่ไม่ถึงกับยกฟ้องได้
ใช้ปืนสั้นตีเขามีบาดแผลฟกช้ำโลหิตซับที่ใต้ขมับขวา 1 แห่ง ฟกช้ำที่แก้มซ้าย 3 แห่ง และที่ข้อมือซ้ายถูกของมีคมอีก 1 แห่ง ย่อมถือได้ว่าเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายถึงบาดเจ็บทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยใช้ปืนสั้นตีผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้ การชกต่อยกับการใช้ปืนสั้นตีเป็นกิริยาอาการที่ใกล้ชิดกัน ยังไม่พอจะชี้ขาดว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับยกฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยข้อกฎหมายว่าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง แม้ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องในข้อเท็จจริง โจทก์ก็ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองเช็คและการผิดสัญญาเช่าห้อง ทำให้ผู้รับเช็คมีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ จำเลยรับว่าสั่งจ่ายเช็คนั้นจริงเพื่อกิจการอย่างหนึ่ง แต่ถึงกำหนดกิจการนั้นเลิกล้มไปเพราะโจทก์ประพฤติผิดสัญญาแต่ในวันชี้สองสถานจำเลยแถลงว่าออกเช็คให้โจทก์เนื่องจากมีสัญญาจะเช่าห้องโจทก์ภายใน 7 วัน ครั้นครบ 7 วันจำเลยไม่สามารถหาเงินมาเช่าห้องได้ ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับเช็คโดยชอบและสุจริต จำเลยไม่พ้นความรับผิดไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อการเช่า การผิดสัญญาเช่าทำให้ผู้ทรงเช็คมีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็คได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์จำเลยรับว่าสั่งจ่ายเช็คนั้นจริงเพื่อกิจการอย่างหนึ่ง แต่ถึงกำหนดกิจการนั้นเลิกล้มไปเพราะโจทก์ประพฤติผิดสัญญา แต่ในวันชี้สองสถานจำเลยแถลงว่าออกเช็คให้โจทก์เนื่องจากมีสัญญาจะเช่าห้องโจทก์ภายใน 7 วัน ครั้นครบ 7 วันจำเลยไม่สามารถหาเงินมาเช่าห้องได้ ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับเช็คโดยชอบและสุจริตจำเลยไม่พ้นความผิดไปได้ตาม ป.พ.พ.ม.900

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนส่งสินค้าชายแดนไม่ถือเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี หากไม่ได้มุ่งหวังนำออกนอกราชอาณาจักร
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2480 มาตรา 5 นั้น เป็นเรื่องควบคุมมิให้นำสิ่งของเข้าในหรือออกนอกราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษี จึงบังคับให้ต้องขนส่งของที่นำเข้ามาหรือนำออกไปนั้นไปตามทางอนุมัติ และตามเวลาที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดไว้ ฉะนั้นเมื่อไม่ได้ส่งของออกหรือเข้าในราชอาณาจักรแล้ว เพียงแต่ขนส่งของจากด่านศุลกากรไปยังร้านของตนที่ตลาดชายเขตแดนเพื่อจำหน่ายแก่ชุมนุมชนที่นั่น แม้จะขนส่งไปนอกเส้นทางอนุมัติ และนอกเวลาที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดไว้ ก็ยังไม่เป็นผิดตามกฎหมายที่กล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในความเสียหายของทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองของผู้รับฝากทดลองใช้
จำเลยเป็นผู้รับเครื่องคิดเลขของโจทก์ไว้เพื่อทดลองใช้ และปรากฏว่าเครื่องชำรุดเสียหายในขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลยโดยปกติ และตามกฎหมายจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ เว้นแต่จะสืบแก้ตัวได้ว่าไม่ต้องรับผิดด้วยเหตุใด
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวว่าจำเลยหรือตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำเครื่องพิมพ์ตกพื้นเสียหายจะถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมมิได้ เพราะเครื่องพิมพ์อยู่ในความครอบครองของจำเลยไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้หรือเสียเปรียบในเชิงคดีอย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในความเสียหายของทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองของผู้รับฝากทดลองใช้
จำเลยเป็นผู้รับเครื่องคิดเลขของโจทก์ไว้เพื่อทดลองใช้ และปรากฎว่าเครื่องชำรุดเสียหายในขณะอยู่ในความครอบ ครองของจำเลย โดยปกติและตามกฏหมายจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ เว้นแต่จะสืบแก้ตัวได้ว่าไม่ต้องรับผิดด้วยเหตุใด
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวว่าจำเลยหรือตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำเครื่องพิมพ์ตกพื้นเสียหายจะถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมมิได้ เพราะเครื่องพิมพ์อยู่ในความครอบครองของจำเลยไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้หรือเสียเปรียบในเชิงคดีอย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการวินิจฉัยข้อฎีกาของผู้ให้เช่าในคดีพิพาทการเช่าห้อง
โจทก์จำเลยต่างร่วมกันเช่าห้องอยู่อาศัยและค้าขายร่วมกันรวม 2 ห้อง อยู่มาโจทก์ไม่อยู่ จำเลยกั้นห้องเช่าแบ่งให้คนอื่นเช่าแทนเสีย 1 ห้อง โจทก์กลับมาจึงฟ้องจำเลยขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่ยังเหลือ และเรียกค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยใหม่โดยฟ้องผู้ให้เช่าและผู้เช่าห้องพิพาทแทนเป็นจำเลยด้วย โดยโจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าห้องที่จำเลยให้ผู้เช่าเช่าแทนไปนั้น โจทก์มีสิทธิการเช่าอยู่ ขอให้จำเลยกับผู้ให้เช่าผู้เช่าแทนร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้คดีเฉพาะเดิมย่อมเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทร่วมกัน แต่การที่จำเลยเอาห้องพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าแทนต่อไปนั้น ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิด ดังนี้ผู้ให้เช่าซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยจะฎีกาว่าความจริงจำเลยเป็นผู้เช่าแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เช่าร่วมด้วย ดังนี้ข้อโต้เถียงดังกล่าวย่อมไม่ทำให้ผู้ให้เช่ากลับแพ้คดีนี้ได้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและขอบเขตความรับผิดของผู้เช่าร่วม กรณีจำเลยให้เช่าช่วงต่อ
โจทก์จำเลยต่างร่วมกันเช่าห้องอยู่อาศัยและค้าขายร่วมกันรวม 2 ห้อง อยู่มาโจทก์ไม่อยู่ จำเลยกั้นห้องเช่าแบ่งให้ คนอื่นเช่าแทนเสีย 1 ห้อง โจทก์กลับมาจึงฟ้องจำเลยขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่ยังเหลือ และเรียกค่าเสีย
หาย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยใหม่โดยฟ้องผู้ให้เช่าและผู้เช่าห้องพิพาทแทนเป็น จำเลยด้วย โดยโจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าห้องที่จำเลยให้ผู้เช่าเช่าแทนไปนั้น โจทก์มีสิทธิการเช่าอยู่ ขอให้จำเลย กับผู้ให้เช่า ผู้เช่าแทน ร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้คดีฉะเพาะจำเลยเดิม ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทร่วมกัน แต่การที่จำเลยเอาห้องพิพาท ไปให้ผู้อื่นเช่าแทนต่อไปนั้น ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิด ดังนี้ผู้ให้เช่าซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยจะฎีกาว่า ความจริงจำเลย เป็นผู้เช่าแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เช่าร่วมด้วย ดังนี้ข้อโต้เถียงดังกล่าวย่อมไม่ทำให้ผู้เช่ากลับแพ้คดีนี้ได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวให้./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์เมื่อจำเลยอ้างว่าสัญญาไม่ถูกต้องบางส่วน ศาลวางหลักว่าจำเลยต้องนำสืบก่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด โดยจำเลยยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ครั้นเมื่อโจทก์ให้เงินจำเลยแล้ว และถึงกำหนดเวลาแล้ว จำเลยก็ไม่รื้อจึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาที่โจทก์อ้างจริงแต่เป็นเพราะถูกโจทก์หลอกลวงให้ ลงชื่อ โดยความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยรื้ออาคารเพียงส่วนน้อยเพื่อให้ได้ระดับกับห้องแถวที่ปลูกอยู่ข้าง เคียงแล้วโจทก์ให้จำเลยลงนามในเอกสารโดยไม่อ่านข้อความให้จำเลยฟัง ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยมิได้ปฏิเสธสัญญา ที่โจทก์ฟ้องเสียทั้งหมด เป็นแต่กล่าวอ้างว่าไม่ถูกต้องเพียงบางส่วน เช่นนี้จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำสืบก่อน
of 260