พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,595 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์เมื่อจำเลยอ้างว่าสัญญาไม่ถูกต้องบางส่วน ศาลวางหลักว่าจำเลยต้องนำสืบก่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด โดยจำเลยยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ครั้นเมื่อโจทก์ให้เงินจำเลยแล้ว และถึงกำหนดเวลาแล้ว จำเลยก็ไม่รื้อจึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาที่โจทก์อ้างจริงแต่เป็นเพราะถูกโจทก์หลอกลวงให้ ลงชื่อ โดยความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยรื้ออาคารเพียงส่วนน้อยเพื่อให้ได้ระดับกับห้องแถวที่ปลูกอยู่ข้าง เคียงแล้วโจทก์ให้จำเลยลงนามในเอกสารโดยไม่อ่านข้อความให้จำเลยฟัง ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยมิได้ปฏิเสธสัญญา ที่โจทก์ฟ้องเสียทั้งหมด เป็นแต่กล่าวอ้างว่าไม่ถูกต้องเพียงบางส่วน เช่นนี้จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำสืบก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1129/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอคดีต่อศาลต้องมีข้อพิพาทตามกฎหมาย การฟ้องร้องต้องมีสิทธิหรือหน้าที่ที่ถูกโต้แย้ง
การเสนอคดีต่อศาลนั้น ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 55 บัญญัติว่า ต้องมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตาม กฎหมาย หรือบุคคลใดจะใช้สิทธิในทางศาล ซึ่งต้องมีกฎหมายสนับสนุน ไม่ใช่ว่ามีความปรารถนาหรือข้องใจอย่าง ใดเกิดขึ้นก็มาร้องขอให้ศาลชี้ขาดได้.
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่จำต้องมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลย่อมจะต้องยก คำร้องเสียนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องเช่นว่านั้นไว้แล้ว และมีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาจนศาลชั้นต้นสั่ง และดำเนิน การพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทนั้น เรื่องสิทธิเสนอคดีต่อศาลพังกล่าวข้างต้น ก็เป็นอันผ่านไป.
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อกฎหมาย ยังมิได้วินิจฉัย ขอ้เท็จจริงนั้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ๆ ย่อมมีอำนาจที่จะฟังข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาคดีไปทีเดียวได้โดยไม่จำ ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่อีก./
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่จำต้องมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลย่อมจะต้องยก คำร้องเสียนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องเช่นว่านั้นไว้แล้ว และมีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาจนศาลชั้นต้นสั่ง และดำเนิน การพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทนั้น เรื่องสิทธิเสนอคดีต่อศาลพังกล่าวข้างต้น ก็เป็นอันผ่านไป.
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อกฎหมาย ยังมิได้วินิจฉัย ขอ้เท็จจริงนั้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ๆ ย่อมมีอำนาจที่จะฟังข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาคดีไปทีเดียวได้โดยไม่จำ ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่อีก./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1129/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอคดีต่อศาลต้องมีข้อพิพาททางกฎหมาย หากมีคดีมีข้อพิพาทแล้ว ศาลฎีกาสามารถวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้
การเสนอคดีต่อศาลนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 บัญญัติว่าต้องมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมาย หรือบุคคลใดจะใช้สิทธิในทางศาล ซึ่งต้องมีกฎหมายสนับสนุน ไม่ใช่ว่ามีความปรารถนาหรือข้องใจอย่างใดเกิดขึ้นก็มาร้องขอให้ศาลชี้ขาดได้
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่จำต้องมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลย่อมจะต้องยกคำร้องเสียนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องเช่นว่านั้นไว้แล้ว และมีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาจนศาลชั้นต้นสั่ง และดำเนินการพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทนั้น เรื่องสิทธิเสนอคดีต่อศาลดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นอันผ่านไป
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อกฎหมาย ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะฟังข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาคดีไปทีเดียวได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่อีก
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่จำต้องมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลย่อมจะต้องยกคำร้องเสียนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องเช่นว่านั้นไว้แล้ว และมีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาจนศาลชั้นต้นสั่ง และดำเนินการพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทนั้น เรื่องสิทธิเสนอคดีต่อศาลดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นอันผ่านไป
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อกฎหมาย ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะฟังข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาคดีไปทีเดียวได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกระทำผิด แม้ผู้ร่วมกระทำผิดบางคนไม่มีความผิด ก็ไม่ทำให้การสมคบกระทำผิดของผู้อื่นเป็นโมฆะ
ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ทำการลักทรัพย์ แม้ศาลจะฟังว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 นั้นหลักฐานยังไม่พอลงโทษจึงปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ไปก็ดี แต่จะถือเอาเป็นเหตุให้ฟังว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกระทำผิดดังฟ้องหาได้ไม่ เมื่อคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 2 มีพยานหลักฐานฟังได้ ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบคิดกระทำผิด แม้ผู้ร่วมกระทำผิดคนหนึ่งพ้นผิด ก็ไม่ทำให้การสมคบคิดของอีกคนเป็นโมฆะ
ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ทำการลักทรัพย์ แม้ศาลจะฟังว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 นั้น หลักฐานยังไม่พอลง
โทษจึงปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ไปก็ดี แต่จะถือเอาเป็นเหตุให้ฟังว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกระทำผิดดังฟ้องหาได้ไม่ เมื่อคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 2 มีพยานหลักฐานฟังได้ ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ได้./
โทษจึงปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ไปก็ดี แต่จะถือเอาเป็นเหตุให้ฟังว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกระทำผิดดังฟ้องหาได้ไม่ เมื่อคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 2 มีพยานหลักฐานฟังได้ ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ได้./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การควบคุมตัวผู้ต้องหาและการขังขังเกินสมควรแก่เหตุ ศาลมีอำนาจพิจารณาความจำเป็นในการขัง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 เป็นบทบัญญัติคุ้มครองผู้ต้องหามิให้ต้องถูกควบคุมหรือกักขังนานเกินสมควรแก่เหตุ และความจำเป็น ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่ยอมออกหมายขังผู้ต้องหาต่อไปเพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะขังแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุที่จะอุทธรณ์ฎีกา เพื่อให้ขังผู้ต้องหาต่อไปอีกได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/96)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ศาลไม่รับฟ้องคดีเดิมเมื่อมีคำพิพากษาในคดีเดียวกันแล้ว
เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าสมคบกันฆ่าบุตรโจทก์ตายโดยไม่เจตนาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 251 ศาลจึงนัดไต่สวนในระหว่างนั้นอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในกรณีเดียวกันนี้ หาว่าจำเลยกับบุตรเจ้าทุกข์วิวาท กัน และบุตรเจ้าทุกข์ตาย ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 253.
จำเลยรับสารภาพตามที่อัยการฟ้อง ศาลจึงพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะ อาญามาตรา 253 คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สำหรับคดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องไว้ก่อนนั้น แม้จะได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อน แต่ศาลก็ยังมิได้ไต่สวนและประทับฟ้อง กรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.อาญามาตรา 39(4) ศาลจึงต้องไม่รับฟ้องโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไป./
(ประชุมใหญ่)
จำเลยรับสารภาพตามที่อัยการฟ้อง ศาลจึงพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะ อาญามาตรา 253 คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สำหรับคดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องไว้ก่อนนั้น แม้จะได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อน แต่ศาลก็ยังมิได้ไต่สวนและประทับฟ้อง กรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.อาญามาตรา 39(4) ศาลจึงต้องไม่รับฟ้องโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไป./
(ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีซ้ำซ้อน: ศาลไม่รับฟ้องคดีเดิม หากมีคดีอาญาเดียวกันถูกพิจารณาและมีคำพิพากษาแล้ว แม้ฟ้องก่อน
เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าสมคบกันฆ่าบุตรโจทก์ตายโดยไม่เจตนาตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 251 ศาลจึงสั่งนัดไต่สวน ในระหว่างนั้นอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในกรณีเดียวกันนี้ หาว่าจำเลยกับบุตรเจ้าทุกข์วิวาทกันและ บุตรเจ้าทุกข์ตาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 253
จำเลยรับสารภาพตามที่อัยการฟ้อง ศาลจึงพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 253 คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สำหรับ คดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องไว้ก่อนนั้น แม้จะได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อน แต่ศาลก็ยังมิได้ไต่สวนและประทับฟ้อง กรณีจึงต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ศาลจึงต้องไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2496)
จำเลยรับสารภาพตามที่อัยการฟ้อง ศาลจึงพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 253 คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สำหรับ คดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องไว้ก่อนนั้น แม้จะได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อน แต่ศาลก็ยังมิได้ไต่สวนและประทับฟ้อง กรณีจึงต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ศาลจึงต้องไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2496)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บาดแผลตามรายงานชัณสูตรไม่ถึงขั้นเป็นบาดเจ็บทุพพลภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 254
ถูกทำร้ายมีบาดแผลปรากฎตามรายงานชัณสูตรบาดแผลว่าตรงกึ่งกลางสันหน้าแข้งขวากว้าง 1 ซ.ม. ยาว 2 ซ.ม. ถลอกบวม และที่คอด้านหลังเป็นแผลบวมฟกช้ำ รักษาประมาณ 7 วันหาย เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าเป็นบาดแผลถึง บาดเจ็บทุพพลภาพตามมาตรา 254.
ฟ้องว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายมีบาดแผลบาดเจ็บตามรายการชัณสูตรบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย.
บาดแผลตามรายงานชัณสูตรท้ายฟ้องเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย.
ฟ้องว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายมีบาดแผลบาดเจ็บตามรายการชัณสูตรบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย.
บาดแผลตามรายงานชัณสูตรท้ายฟ้องเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บาดแผลทางร่างกายไม่ถึงขั้น 'บาดเจ็บ' ตามกฎหมายอาญา แม้จำเลยรับสารภาพ
ถูกทำร้ายมีบาดแผลปรากฏตามรายงานชันสูตรบาดแผลว่า ตรงกึ่งกลางสันหน้าแข้งขวากว้าง 1 ซ.ม. ยาว 2 ซ.ม. ถลอกบวม และที่คอด้านหลังเป็นแผลบวมฟกช้ำ รักษา ประมาณ7 วันหาย เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บทุพพลภาพตามมาตรา 254
ฟ้องว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายมีบาดแผลบาดเจ็บตามรายการชันสูตรบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย
บาดแผลตามรายงานชันสูตรท้ายฟ้องเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ฟ้องว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายมีบาดแผลบาดเจ็บตามรายการชันสูตรบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย
บาดแผลตามรายงานชันสูตรท้ายฟ้องเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย