คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1562

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 67 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแพ่ง: ข้อห้ามฟ้องบุพการีและข้อยกเว้น, เจ้าของรวมมีอำนาจดำเนินคดี
โจทก์ที่2อยู่ในฐานะผู้สืบสันดานคือเป็นหลานจำเลยจำเลยอยู่ในฐานะเป็นยายย่อมเป็นบุพการีของโจทก์ที่2การที่โจทก์ที่2ฟ้องจำเลยจึงเป็นการฟ้องบุพการีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562โจทก์ที่2จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยสำหรับโจทก์ที่1เป็นเพียงบุตรเขยไม่ได้เป็นผู้สืบสันดานของจำเลยจำเลยไม่ได้เป็นบุพการีของโจทก์ที่1ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามทั้งหมดโจทก์ที่1ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยในที่พิพาทย่อมมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและการฟ้องบุพการี: ศาลมีอำนาจเรียกจำเลยร่วมได้หากมีเหตุผล และไม่ถือเป็นการฟ้องบุพการีโดยตรง
โจทก์และจำเลยเป็นบุตรของจำเลยร่วม ทั้งสามต่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 2568 ร่วมกัน โจทก์ต้องการโฉนดมาเพื่อทำนิติกรรมจำหน่ายส่วนของตนและเข้าใจว่าจำเลยเป็นผู้เก็บโฉนดไว้ไม่ยอมมอบให้ จึงฟ้องจำเลยขอให้ส่งมอบโฉนดและเรียกค่าเสียหาย ต่อมาความปรากฏแก่ศาลว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เก็บรักษาโฉนดไว้ ดังนี้จึงเป็นการสมควรและจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลจะมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3)(ข) และพิพากษาบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดตามฟ้องของโจทก์ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 เป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้ฟ้องผู้บุพการีของตน จึงต้องแปลโดยเคร่งครัด การที่ศาลมีคำสั่งเรียกบิดาโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ข) ยังเรียกไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องบุพการีของตน จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและการฟ้องบุพการี: การบังคับให้ส่งมอบโฉนดและการไม่ขัดต่อมาตรา 1562
โจทก์และจำเลยเป็นบุตรของจำเลยร่วม ทั้งสามต่างเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 2568 ร่วมกัน โจทก์ต้องการโฉนดมาเพื่อทำนิติกรรมจำหน่ายส่วนของตนและเข้าใจว่าจำเลยเป็นผู้เก็บโฉนดไว้ไม่ยอมมอบให้ จึงฟ้องจำเลยขอให้ส่งมอบโฉนดและเรียกค่าเสียหาย ต่อมาความปรากฏแก่ศาลว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เก็บรักษาโฉนดไว้ ดังนี้จึงเป็นการสมควรและจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ ศาลจะมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)(ข) และพิพากษาบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดตามฟ้องของโจทก์ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 เป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้ฟ้องผู้บุพการีของตนจึงต้องแปลโดยเคร่งครัด การที่ศาลมีคำสั่งเรียกบิดาโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3)(ข) ยังเรียกไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องบุพการีของตน จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าทนายความในคดีแพ่งที่พนักงานอัยการดำเนินคดีแทนโจทก์: สิทธิเรียกร้องค่าทนายความ
ในกรณีที่ไม่อาจฟ้องบุพการีได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายจึงร้องขอให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ดำเนินคดีแพ่งแทนนั้นพนักงานอัยการเป็นตัวโจทก์ว่าความเองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทนายความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1432/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังหย่า โดยฟ้องในนามตนเอง ไม่ใช่การฟ้องแทนบุตร
สามีภริยาไม่จดทะเบียนสมรสหย่าและตกลงกันให้แบ่งที่ดินยกให้เป็นของบุตร เมื่อภริยาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสามีฟ้องขอบังคับให้แบ่งตามข้อตกลงได้ โดยฟ้องในนามตนเองให้ภริยาปฏิบัติตามข้อตกลงซึ่งไม่เป็นการที่บุตรฟ้องบิดามารดา ไม่ต้องห้าม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1998/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องรับรองบุตรพร้อมเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู และผลของการเป็นบุตรโดยคำพิพากษา
การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลัง(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2085/2499)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นมาดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามของผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์นั้น ไม่เป็นคดีอุทลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่มีเอกสารของจำเลยแสดงชัดว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(3) ก็ตาม โจทก์ก็ฟ้องได้ เพราะโจทก์ได้บรรยายได้ด้วยว่าโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(5)
การกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยคำพิพากษานั้น ต้องเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 797/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการถอนผู้ปกครองและการคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เยาว์
เมื่อผู้ใดร้องขอให้ศาลตั้งเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ ไม่มีผู้ใดคัดค้านศาลได้ไต่สวนและสั่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้ปกครองดังนี้จะเรียกว่าคดีถึงที่สุดอุทธรณ์ฎีกาต่อไปไม่ได้ก็เฉพาะเรื่องการตั้งผู้ปกครอง
ส่วนเรื่องการร้องขอให้ถอนผู้ปกครองนั้นเป็นอำนาจของศาลเองหรือสั่งเมื่อบุคคลผู้มีสิทธิร้องขอขึ้นมาตาม มาตรา1552,1574,1575และการร้องขอตามมาตราดังกล่าวไม่จำเป็นต้องทำเป็นคดีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีกต่างหากจากสำนวนเดิม
of 7