พบผลลัพธ์ทั้งหมด 500 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับการสละสิทธิเรียกร้องมรดก: ผลกระทบต่อการจัดการมรดกของทายาท
ผู้ร้องกับบุตรผู้คัดค้านเป็นสามีภริยากันโดยไม่จดทะเบียนสมรส. เกิดบุตรด้วยกัน 1 คน. ซึ่งบิดาได้รับรองแล้ว. ต่อมาบุตรผู้คัดค้านและบุตรผู้ร้องถึงแก่ความตายวันเดียวกัน. โดยบุตรผู้คัดค้านตายก่อนผู้ร้องจึงร้องขอจัดการมรดกของบุตร. ซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากบุตรผู้คัดค้าน. ไม่มีมรดกอื่นอีก. ผู้คัดค้านได้คัดค้านว่า. ผู้ร้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้คัดค้านว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของบุตรผู้คัดค้าน. โดยผู้คัดค้านได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้ร้องรับไปเสร็จสิ้นแล้ว. ดังนั้นหากฟังได้ตามคำคัดค้าน.ย่อมถือได้ว่า ผู้ร้องได้ยอมสละสิทธิที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือเรียกร้องทรัพย์สินใดๆเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของบุตรผู้คัดค้าน. อันจะเป็นมรดกแก่บุตรผู้ร้อง. และตกทอดมายังผู้ร้อง. เมื่อผู้ร้องได้สละสิทธิดังกล่าวโดยได้รับเงินตอบแทนไปแล้ว. จึงเป็นอันว่ามรดกของบุตรผู้ร้องไม่มีแล้ว. แม้ผู้ร้องจะเป็นทายาทของบุตร. ตามพฤติการณ์ก็ไม่มีเหตุที่จะให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกของบุตร.ซึ่งไม่มีจะให้จัดการอีกต่อไป. คำคัดค้านของผู้คัดค้านจึงไม่ใช่เรื่องนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388-389/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะการเป็นทายาทเพื่อการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก และการตรวจสอบความถูกต้องของพินัยกรรม
จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ล. ผู้ตาย โดยอ้างว่าจำเลยเป็นบุตรของ ล.โจทก์ค้านว่าจำเลยไม่ใช่บุตรของ ล. ปัญหาว่าจำเลยเป็นบุตรของ ล. หรือไม่จึงเป็นประเด็นโดยตรงและสำคัญแห่งคดีซึ่งศาลจำเป็นต้องวินิจฉัยชี้ขาด หาใช่เป็นเรื่องที่จะให้ไปฟ้องร้องกันอีกคดีหนึ่งไม่ เพราะถ้าคดีฟังได้ว่าจำเลยไม่ใช่บุตรของ ล. ก็ย่อมไม่ใช่ทายาทไม่มีอำนาจร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก คำร้องของจำเลยต้องยกเสียถ้าหากคดีฟังได้ในทางตรงข้าม คือฟังว่าจำเลยเป็นบุตร ล. จำเลยก็เป็นทายาทในลำดับผู้สืบสันดาน ส. ซึ่งเป็นโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะผู้รับมรดกแทนที่ บ. ซึ่งเป็นทายาทในลำดับน้องร่วมบิดาเดียวกับ ล. ผู้ตาย
ส. ซึ่งเป็นโจทก์เป็นผู้รับมรดกแทนที่ บ. ซึ่งเป็นทายาทในลำดับเดียวกับจำเลย ส. ย่อมมีสิทธิรับมรดกและร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้เท่าเทียมกับจำเลย
โจทก์ร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมทรัพย์บางอย่าง ฝ่ายจำเลยคัดค้านว่าพินัยกรรมปลอมจึงต้องวินิจฉัยปัญหาว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมไม่ปลอม โจทก์ก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมย่อมมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมปลอม คำร้องของโจทก์ก็ต้องยก เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยชอบธรรมและในฐานะผู้รับพินัยกรรม
คดีของโจทก์เป็นเรื่องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นผู้รับพินัยกรรมเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาทเท่านั้น โจทก์หาได้เรียกร้องเอาทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมาด้วยไม่จึงไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์ ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ในพินัยกรรม
ส. ซึ่งเป็นโจทก์เป็นผู้รับมรดกแทนที่ บ. ซึ่งเป็นทายาทในลำดับเดียวกับจำเลย ส. ย่อมมีสิทธิรับมรดกและร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้เท่าเทียมกับจำเลย
โจทก์ร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมทรัพย์บางอย่าง ฝ่ายจำเลยคัดค้านว่าพินัยกรรมปลอมจึงต้องวินิจฉัยปัญหาว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมไม่ปลอม โจทก์ก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมย่อมมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมปลอม คำร้องของโจทก์ก็ต้องยก เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยชอบธรรมและในฐานะผู้รับพินัยกรรม
คดีของโจทก์เป็นเรื่องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นผู้รับพินัยกรรมเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาทเท่านั้น โจทก์หาได้เรียกร้องเอาทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมาด้วยไม่จึงไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์ ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ในพินัยกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388-389/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะทายาทและผลกระทบต่อการเป็นผู้จัดการมรดก รวมถึงการตรวจสอบพินัยกรรม
จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ล. ผู้ตาย. โดยอ้างว่าจำเลยเป็นบุตรของ ล.. โจทก์ค้านว่าจำเลยไม่ใช่บุตรของ ล.. ปัญหาว่าจำเลยเป็นบุตรของล.หรือไม่.จึงเป็นประเด็นโดยตรงและสำคัญแห่งคดี. ซึ่งศาลจำเป็นต้องวินิจฉัยชี้ขาด. หาใช่เป็นเรื่องที่จะให้ไปฟ้องร้องกันอีกคดีหนึ่งไม่. เพราะถ้าคดีฟังได้ว่าจำเลยไม่ใช่บุตรของ ล. ก็ย่อมไม่ใช่ทายาท. ไม่มีอำนาจร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก. คำร้องของจำเลยต้องยกเสีย.ถ้าหากคดีฟังได้ในทางตรงข้าม คือฟังว่าจำเลยเป็นบุตร ล. จำเลยก็เป็นทายาทในลำดับผู้สืบสันดาน. ส.ซึ่งเป็นโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะผู้รับมรดกแทนที่ บ. ซึ่งเป็นทายาทในลำดับน้องร่วมบิดาเดียวกับ ล. ผู้ตาย.
ส.ซึ่งเป็นโจทก์เป็นผู้รับมรดกแทนที่ บ.ซึ่งเป็นทายาทในลำดับเดียวกับจำเลย. ส.ย่อมมีสิทธิรับมรดกและร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้เท่าเทียมกับจำเลย.
โจทก์ร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมทรัพย์บางอย่าง. ฝ่ายจำเลยคัดค้านว่าพินัยกรรมปลอม. จึงต้องวินิจฉัยปัญหาว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่. ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมไม่ปลอม. โจทก์ก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมย่อมมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้. ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมปลอม. คำร้องของโจทก์ก็ต้องยก. เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยชอบธรรมและในฐานะผู้รับพินัยกรรม.
คดีของโจทก์เป็นเรื่องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก. โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นผู้รับพินัยกรรม. เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาทเท่านั้น. โจทก์หาได้เรียกร้องเอาทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมาด้วยไม่.จึงไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์. ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ในพินัยกรรม.
ส.ซึ่งเป็นโจทก์เป็นผู้รับมรดกแทนที่ บ.ซึ่งเป็นทายาทในลำดับเดียวกับจำเลย. ส.ย่อมมีสิทธิรับมรดกและร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้เท่าเทียมกับจำเลย.
โจทก์ร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมทรัพย์บางอย่าง. ฝ่ายจำเลยคัดค้านว่าพินัยกรรมปลอม. จึงต้องวินิจฉัยปัญหาว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่. ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมไม่ปลอม. โจทก์ก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมย่อมมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้. ถ้าฟังได้ว่าพินัยกรรมปลอม. คำร้องของโจทก์ก็ต้องยก. เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยชอบธรรมและในฐานะผู้รับพินัยกรรม.
คดีของโจทก์เป็นเรื่องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก. โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นผู้รับพินัยกรรม. เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาทเท่านั้น. โจทก์หาได้เรียกร้องเอาทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมาด้วยไม่.จึงไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์. ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ในพินัยกรรม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้จัดการมรดก แม้มีข้อตกลงแบ่งมรดกแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องมีผู้จัดการมรดกเพื่อให้การโอนมรดกสมบูรณ์
แม้จะมีข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คักค้าน ในการแบ่งปันมรดกกันไว้หมดแล้ว แต่การที่จะจัดการโอนมรดกให้แก่กันตามข้อตกลง ก็ยังจำเป็นจะต้องมีผู้จัดการมรดกเป็นผู้จัดการให้บังเกิดผลเสร็จสิ้นไปตามข้อตกลงนั้น
ในคดีที่ร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจะต้องบรรยายในคำร้องถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันจำเป็นและสมควรที่จะต้องมีผู้จัดการมรดก ให้ได้ความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 เท่านั้น ข้อตกลงแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิใช่รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ศาลจะพึงต้องพิจารณา ผู้ร้องจึงไม่ จำต้องบรรยายถึงข้อตกลงนั้นมาในคำร้อง หรือต้องคัดสำเนาข้อตกลงยื่นต่อศาลพร้อมคำร้อง
ในคดีที่ร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจะต้องบรรยายในคำร้องถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันจำเป็นและสมควรที่จะต้องมีผู้จัดการมรดก ให้ได้ความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 เท่านั้น ข้อตกลงแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิใช่รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ศาลจะพึงต้องพิจารณา ผู้ร้องจึงไม่ จำต้องบรรยายถึงข้อตกลงนั้นมาในคำร้อง หรือต้องคัดสำเนาข้อตกลงยื่นต่อศาลพร้อมคำร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้จัดการมรดก แม้มีข้อตกลงแบ่งมรดกแล้ว ก็ยังจำเป็นเพื่อจัดการโอนทรัพย์ให้สมบูรณ์ตามข้อตกลง
แม้จะมีข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ในการแบ่งปันมรดกกันไว้หมดแล้ว แต่การที่จะจัดการโอนมรดกให้แก่กันตามข้อตกลง ก็ยังจำเป็นจะต้องมีผู้จัดการมรดกเป็นผู้จัดการให้บังเกิดผลเสร็จสิ้นไปตามข้อตกลงนั้น
ในคดีที่ร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจะต้องบรรยายในคำร้องถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันจำเป็นและสมควรที่จะต้องมีผู้จัดการมรดก ให้ได้ความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 เท่านั้น ข้อตกลงแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิใช่รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ศาลจะพึงต้องพิจารณา ผู้ร้องจึงไม่จำต้องบรรยายถึงข้อตกลงนั้นมาในคำร้อง หรือต้องคัดสำเนาข้อตกลงยื่นต่อศาลพร้อมคำร้อง
ในคดีที่ร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจะต้องบรรยายในคำร้องถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันจำเป็นและสมควรที่จะต้องมีผู้จัดการมรดก ให้ได้ความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 เท่านั้น ข้อตกลงแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมิใช่รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ศาลจะพึงต้องพิจารณา ผู้ร้องจึงไม่จำต้องบรรยายถึงข้อตกลงนั้นมาในคำร้อง หรือต้องคัดสำเนาข้อตกลงยื่นต่อศาลพร้อมคำร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับบุตรบุญธรรมของคู่สมรส: สิทธิความเป็นบุตรตามกฎหมาย
ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าการรับเด็กซึ่งเป็นบุตรของผู้อื่นมาเลี้ยงเหมือนกับบุตรของตนแล้วถือให้ว่าเป็นบุตรตามกฎหมายของตน
หาก ป.พ.พ.มาตรา 1584 ประสงค์ให้ คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรก็คงบัญญัติไว้โดยตรงว่าต้องให้คู่สมรสรับบุตรบุญธรรมด้วย การที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าต้องได้รับความยินยอม ก็ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่ายินยอมให้คู่สมรสอีกฝ่ายรับบุตรบุญธรรมได้ ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย และกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติให้คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม
หาก ป.พ.พ.มาตรา 1584 ประสงค์ให้ คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรก็คงบัญญัติไว้โดยตรงว่าต้องให้คู่สมรสรับบุตรบุญธรรมด้วย การที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าต้องได้รับความยินยอม ก็ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่ายินยอมให้คู่สมรสอีกฝ่ายรับบุตรบุญธรรมได้ ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย และกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติให้คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับบุตรบุญธรรม: สิทธิความเป็นบุตรตามกฎหมายไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติกับคู่สมรสของผู้รับ
ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าการรับเด็กซึ่งเป็นบุตรของผู้อื่นมาเลี้ยงเหมือนกับบุตรของตนแล้วให้ถือว่าเป็นบุตรตามกฎหมายของตน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584 ประสงค์ให้คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรก็คงบัญญัติไว้โดยตรงว่าต้องให้คู่สมรสรับบุตรบุญธรรมด้วย การที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าต้องได้รับความยินยอม ก็ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่ายินยอมให้คู่สมรสอีกฝ่ายรับบุตรบุญธรรมได้ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมด้วยและกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติให้คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584 ประสงค์ให้คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรก็คงบัญญัติไว้โดยตรงว่าต้องให้คู่สมรสรับบุตรบุญธรรมด้วย การที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าต้องได้รับความยินยอม ก็ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่ายินยอมให้คู่สมรสอีกฝ่ายรับบุตรบุญธรรมได้ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมด้วยและกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติให้คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมมีฐานะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้จัดการมรดก: สิทธิการจัดการทรัพย์สินมรดกเฉพาะส่วน และการไม่มีส่วนได้เสียในการคัดค้าน
เมื่อผู้ตายมีคดีพิพาทอยู่กับผู้คัดค้าน สิทธิต่าง ๆ ของผู้ตายจะต้องมีผู้จัดการต่อไป และย่อมจะต้องจัดการเฉพาะทรัพย์สินอันเป็นมรดกของผู้ตายเพียงเท่าที่ผู้ตายมีสิทธิอยู่ ไม่ใช่เข้าไปจัดการซ้อนผู้จัดการในคดีที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง การตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกในคดีนี้จึงไม่เป็นการตั้งผู้จัดการมรดกซ้ำ
ในคดีที่ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างว่ามีอยู่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องก็ดี ก็หาตัดสิทธิผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องไม่ และประเด็นแห่งคดีมีอยู่เพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 188 (4) มิได้หมายความว่า ถ้าใครคัดค้านจะเป็นคู่ความไปเสียทั้งหมด คงหมายเฉพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น
ในคดีที่ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างว่ามีอยู่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องก็ดี ก็หาตัดสิทธิผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องไม่ และประเด็นแห่งคดีมีอยู่เพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 188 (4) มิได้หมายความว่า ถ้าใครคัดค้านจะเป็นคู่ความไปเสียทั้งหมด คงหมายเฉพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้จัดการมรดก: สิทธิในการคัดค้านและขอบเขตการจัดการทรัพย์สินมรดก
เมื่อผู้ตายมีคดีพิพาทอยู่กับผู้คัดค้าน สิทธิต่างๆ ของผู้ตายจะต้องมีผู้จัดการต่อไป และย่อมจะต้องจัดการเฉพาะทรัพย์สินอันเป็นมรดกของผู้ตายเพียงเท่าที่ผู้ตายมีสิทธิอยู่ ไม่ใช่เข้าไปจัดการซ้อนผู้จัดการในคดีที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง การตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกในคดีนี้จึงไม่เป็นการตั้งผู้จัดการมรดกซ้ำ
ในคดีที่ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างว่ามีอยู่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องก็ดีก็หาตัดสิทธิผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องไม่และประเด็นแห่งคดีมีอยู่เพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) มิได้หมายความว่า ถ้าใครคัดค้านจะเป็นคู่ความไปเสียทั้งหมดคงหมายเฉพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น
ในคดีที่ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างว่ามีอยู่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องก็ดีก็หาตัดสิทธิผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องไม่และประเด็นแห่งคดีมีอยู่เพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) มิได้หมายความว่า ถ้าใครคัดค้านจะเป็นคู่ความไปเสียทั้งหมดคงหมายเฉพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนพินัยกรรมต้องด้วยวิธีการทำลายหรือขีดฆ่า การตั้งผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1693 บัญญัติว่า ผู้ทำพินัยกรรมจะเพิกถอนพินัยกรรมของตนในเวลาใดก็ได้นั้น หมายถึงว่าจะเพิกถอนเวลาใดก็ได้ตามใจชอบ การเพิกถอนทำอย่างไรนั้น มาตรา 1695 บัญญัติว่า อาจทำโดยทำลายหรือขีดฆ่าเสียด้วยความตั้งใจ "ทำลาย" หมายความว่า รื้อ ทำให้ทลาย ทำให้พัง ทำให้ฉิบหาย ทำให้หมดสิ้นไป การทำลายจึงเป็นการที่ต้องทำให้เกิดผลเช่นนั้น และการเพิกถอนมิใช่ให้ทำโดยเพียงแต่แสดงเจตนาด้วยถ้อยคำ หากจะต้องมีการกระทำ คือ "ทำลาย" หรือ "ขีดฆ่า" เป็นสำคัญ
พินัยกรรมีข้อกำหนดตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อกำหนดนั้นไม่มีผลบังคับด้วยประการใด ๆ ถึงแม้โจทก์จะเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็นกรณีมีเหตุสมควรที่โจทก์จะขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดก
พินัยกรรมีข้อกำหนดตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อกำหนดนั้นไม่มีผลบังคับด้วยประการใด ๆ ถึงแม้โจทก์จะเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็นกรณีมีเหตุสมควรที่โจทก์จะขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดก