คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 87 (1)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 65 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบขัดแย้งกับคำให้การเดิม, การละเมิด, และการเพิกถอน น.ส.3ก. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นความรับผิดทางแพ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้จึงตกลงยกที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ แต่กลับนำสืบว่า จำเลยที่ 2 ขายฝากที่พิพาทไว้กับพ่อตาโจทก์และให้โจทก์กับภรรยาไปไถ่ถอนคืน แล้วจำเลยที่ 2 ยกที่พิพาทให้โจทก์ การนำสืบของโจทก์จึงขัดกับประเด็นข้อต่อสู้ของโจทก์ เป็นการนำสืบนอกประเด็นและรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1)และเมื่อคดีฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว การที่โจทก์เข้าแย่งทำนาในที่พิพาทย่อมเป็นการละเมิดต่อจำเลยชอบที่จำเลยทั้งสองจะฟ้องเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ คำให้การแก้ฟ้องแย้งที่โจทก์มอบให้ทนายความยื่นนั้น ถือเสมือนว่าโจทก์เป็นผู้ยื่นด้วยตนเอง จึงย่อมผูกพันโจทก์โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าทนายความของโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ตรงตามความจริงโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบขัดแย้งกับคำให้การเดิม และการละเมิดสิทธิในที่ดิน ศาลฎีกาพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้จึงตกลงยกที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์แต่กลับนำสืบว่า จำเลยที่ 2 ขายฝากที่พิพาทไว้กับพ่อตาโจทก์และให้โจทก์กับภรรยาไปไถ่ถอนคืน แล้วจำเลยที่ 2 ยกที่พิพาทให้โจทก์ การนำสืบของโจทก์จึงขัดกับประเด็นข้อต่อสู้ของโจทก์ เป็นการนำสืบนอกประเด็นและรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (1) และเมื่อคดีฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว การที่โจทก์เข้าแย่งทำนาในที่พิพาทย่อมเป็นการละเมิดต่อจำเลยชอบที่จำเลยทั้งสองจะฟ้องเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
คำให้การแก้ฟ้องแย้งที่โจทก์มอบให้ทนายความยื่นนั้นถือเสมือนว่าโจทก์เป็นผู้ยื่นด้วยตนเอง จึงย่อมผูกพันโจทก์โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าทนายความของโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ตรงตามความจริงโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2475/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบหักล้างค่าจ้างต่อเติมนอกแบบที่ไม่ต้องบรรยายในคำฟ้อง หากจำเลยยกข้อต่อสู้เรื่องการชำระหนี้แล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างก่อสร้างอาคารที่ค้างชำระ กับอ้างว่าจำเลยยังไม่ชำระหนี้ค่าจ้างต่อเติมนอกแบบรวมสิบรายการจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระให้ครบถ้วนแล้ว และนำสืบถึงการชำระเงินให้โจทก์สี่ครั้ง โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบว่าการชำระหนี้ดังกล่าวของจำเลยเป็นการชำระค่าจ้างต่อเติมนอกแบบครั้งที่หนึ่ง ไม่ใช่การชำระค่าจ้างต่อเติมนอกแบบรายที่ฟ้องอันเป็นการนำสืบหักล้างโดยไม่จำต้องกล่าวบรรยายไว้ในคำฟ้อง และไม่ถือว่าเป็นการสืบนอกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2475/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการนำสืบหักล้างค่าจ้างต่อเติมนอกแบบ แม้มิได้กล่าวบรรยายในคำฟ้อง หากจำเลยอ้างชำระแล้ว ย่อมนำสืบได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างก่อสร้างอาคารที่ค้างชำระ กับอ้างว่าจำเลยยังไม่ชำระหนี้ค่าจ้างต่อเติมนอกแบบรวมสิบรายการจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระให้ครบถ้วนแล้ว และนำสืบถึงการชำระเงินให้โจทก์สี่ครั้ง โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบว่าการชำระหนี้ดังกล่าวของจำเลยเป็นการชำระค่าจ้างต่อเติมนอกแบบครั้งที่หนึ่ง ไม่ใช่การชำระค่าจ้างต่อเติมนอกแบบรายที่ฟ้องอันเป็นการนำสืบหักล้างโดยไม่จำต้องกล่าวบรรยายไว้ในคำฟ้อง และไม่ถือว่าเป็นการสืบนอกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากแก้ไขเล็กน้อยและประเด็นทรัพย์สินชัดเจน ศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานชอบด้วยกฎหมาย
ในคดีร้องขัดทรัพย์ซึ่งมีราคาทรัพย์สินที่พิพาท 45,720 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด 28 รายการราคา 27,590 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ปล่อยอีก 14 รายการ ราคา 15,630 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง (อ้างคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 131/2493)
ผู้ร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดยอ้างว่าสินค้าที่ถูกยึดเป็นสินค้าประเภทผู้ร้องรับเหมาขายแล้วส่งต้นทุนคืนให้ร้านค้าส่ง กำไรตกเป็นของผู้ร้อง แต่ทางนำสืบปรากฏว่าผู้ร้องซื้อด้วยเงินสดแทบทั้งสิ้น เช่นนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานในสำนวนแล้ววินิจฉัยว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย เป็นการฟังพยานหลักฐานชอบด้วยกระบวนพิจารณาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่นอกคำร้อง เพราะประเด็นมีว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับเงินและหน้าที่คืนเงิน แม้รายละเอียดการส่งมอบจะต่างกันเล็กน้อย ศาลยังคงบังคับคดีได้หากพิสูจน์ได้ว่าจำเลยได้รับเงินจริง
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าได้ฝากเงินจำเลยไว้ แต่นำสืบว่าโจทก์ได้ฝากเงินให้จำเลยไปฝากธนาคารนั้น เป็นเรื่องการแตกต่างกันเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น ข้อใหญ่ใจความของคดีคงอยู่ที่ว่า โจทก์ได้อ้างว่าเงินของโจทก์อยู่ที่จำเลย และขอให้จำเลยส่งคืนซึ่งข้อนี้จำเลยได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยได้รับฝากเงินจากโจทก์ไว้เลยในวันที่โจทก์อ้างตามฟ้องนั้น จำเลยก็ไม่ได้รับเงินไว้จากโจทก์ ฉะนั้น หากทางพิจารณาคดีฟังได้ว่าจำเลยได้รับเงินของโจทก์ไว้ ศาลก็ชอบที่จะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบสัญญาเดิมเพื่อยืนยันสัญญาใหม่: การแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความและผลกระทบต่อโมฆะของสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมา โจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่มาจากการช่วยเหลือด้านกฎหมาย: การนำสืบสัญญาเดิมเพื่อพิสูจน์เจตนาและส่วนได้เสีย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลยข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้าทายสืบพยานจำกัดขอบเขต ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะจากพยานที่ตกลงกันไว้
คดีที่คู่ความตกลงท้ากันให้สืบพยาน 2 ปากถือเป็นข้อแพ้ชนะ โดยให้ศาลวินิจฉัยจากพยาน 2 ปากนี้ว่าเป็นจริงดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ถ้าได้ความทางวินิจฉัยของศาลว่าจริง จำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่ได้ความดังกล่าว โจทก์ยอมแพ้ ดังนี้ เมื่อพยาน 2 ปากให้การสมฝ่ายโจทก์ จำเลยจะขอให้นำเอกสารอื่นมาวินิจฉัยหักล้างมิได้ เพราะเป็นพยานนอกเหนือจากที่ตกลงกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้าทายพยาน: ศาลวินิจฉัยตามพยานที่ตกลงกัน ห้ามนำพยานนอกเหนือมาโต้แย้ง
คดีที่คู่ความตกลงท้ากันให้สืบพยาน 2 ปาก ถือเป็นข้อแพ้ชนะ โดยให้ศาลวินิจฉัยจากพยาน 2 ปากนี้ว่าเป็นจริงดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ถ้าได้ความทางวินิจฉัยของศาลว่าจริงจำเลยยอมแพ้ถ้าไม่ได้ความดังกล่าว โจทก์ยอมแพ้ ดังนี้ เมื่อพยาน 2 ปากให้การสมฝ่ายโจทก์ จำเลยจะขอให้นำเอกสารอื่นมาวินิจฉัยหักล้างมิได้ เพราะเป็นพยานนอกเหนือจากที่ตกลงกัน
of 7