พบผลลัพธ์ทั้งหมด 629 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5756/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนรถยนต์เป็นหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ แม้ไม่มีการสืบพยานเจ้าพนักงานก็ใช้ได้
หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถยนต์บรรทุก เป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานกรมการขนส่งทางบกทำขึ้นใช้เป็นต้นฉบับผู้ขอจดทะเบียน แม้ผู้ร้องจะมิได้ขอให้ศาลหมายเรียกเอกสารมาจากกรมการขนส่งทางบกหรือมิได้นำเจ้าพนักงานมาสืบรับรอง ก็รับฟังสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีเนื่องจากความสับสนในการจดเวลานัด และการนำสืบพยานหลักฐานเกินขอบเขตในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ แล้วได้ขอกำหนดวันเวลานัดสืบพยานโจทก์กับพนักงานรับฟ้องโดยนัดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2525 เวลา 9 นาฬิกา แต่ทนายโจทก์ลงนัดไว้ในสมุดบันทึกของตนเองว่าเป็นนัดเวลา 13.30 นาฬิกา ครั้นเมื่อทนายโจทก์มาขอรับหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบเพื่อส่งให้แก่จำเลย ในหมายนัดดังกล่าวก็ได้ลงเวลานัดไว้ว่าเวลา 9 นาฬิกา เช่นนี้ การที่ทนายโจทก์นัดหมายให้พยานโจทก์มาศาลในวันนัดเวลา 13.30 นาฬิกาและ+มาศาลตามเวลาดังกล่าว แม้จะเกิดขึ้นเนื่องจากการสับสนจดจำผิดพลาดของหมายโจทก์ มิใช่ความผิดพลาดอันเกิดขึ้นจากตัวโจทก์เองโดยตรงก็ตาม ก็ถือว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์เป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่โจทก์จะขอพิจารณาใหม่
ในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบแสดงให้ศาลเห็นเพียงว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์นั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรเท่านั้น โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนของให้พิจารณาใหม่ก้าวล่วงไปถึงฐานะแห่งการเป็นนิติบุคคลและบุคคลผู้เป็นผู้แทนของ โจทก์กับการมอบอำนาจให้ อ.ฟ้องดำเนินคดีแทนอันเป็นประเด็นข้อที่ 1 แห่งคดีซึ่งโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในชั้นพิจารณาคดีเช่นนี้ จะนำพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาประเด็นแห่งคดีไม่ได้ เมื่อภาระการพิสูจน์ในประเด็นแห่งคดีดังกล่าวตกแก่โจทก์และโจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบแล้ว โจทก์ก็ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี จึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น
ในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบแสดงให้ศาลเห็นเพียงว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์นั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรเท่านั้น โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนของให้พิจารณาใหม่ก้าวล่วงไปถึงฐานะแห่งการเป็นนิติบุคคลและบุคคลผู้เป็นผู้แทนของ โจทก์กับการมอบอำนาจให้ อ.ฟ้องดำเนินคดีแทนอันเป็นประเด็นข้อที่ 1 แห่งคดีซึ่งโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในชั้นพิจารณาคดีเช่นนี้ จะนำพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาประเด็นแห่งคดีไม่ได้ เมื่อภาระการพิสูจน์ในประเด็นแห่งคดีดังกล่าวตกแก่โจทก์และโจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบแล้ว โจทก์ก็ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี จึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4818/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานบอกเล่าประกอบพยานหลักฐานอื่น หักกลบลบหนี้ได้ แม้ไม่มีหลักฐานการชำระหนี้เป็นหนังสือ
พยานบอกเล่าเป็นเพียงพยานที่มีน้ำหนักน้อยเท่านั้น แต่ไม่ใช่พยานที่กฎหมายห้ามมิให้รับฟัง เมื่อพยานบอกเล่านั้นสมเหตุผลและมีพยานอื่นสนับสนุน ก็เป็นพยานที่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟังได้ ผู้ตายกู้ยืมเงินโจทก์โดยทำหนังสือสัญญากู้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดผู้ตายได้โอนขายที่ดินบางส่วนให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ดังนี้ผู้ตายย่อมหลุดพ้นจากหนี้ตามหนังสือสัญญากู้นั้น การนำสืบการหักกลบลบหนี้นั้นไม่ต้องมีหลักฐานการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4818/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานบอกเล่าประกอบพยานอื่นฟังได้ หักกลบลบหนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานการชำระหนี้เป็นหนังสือ
พยานบอกเล่าเป็นเพียงพยานที่มีน้ำหนักน้อยเท่านั้น แต่ไม่ใช่พยานที่กฎหมายห้ามมิให้รับฟัง เมื่อพยานบอกเล่านั้นสมเหตุผลและมีพยานอื่นสนับสนุน ก็เป็นพยานที่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟังได้
ผู้ตายกู้ยืมเงินโจทก์โดยทำหนังสือสัญญากู้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดผู้ตายได้โอนขายที่ดินบางส่วนให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ ดังนี้ผู้ตายย่อมหลุดพ้นจากหนี้ตามหนังสือสัญญากู้นั้น การนำสืบการหักกลบลบหนี้นั้นไม่ต้องมีหลักฐานการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง
ผู้ตายกู้ยืมเงินโจทก์โดยทำหนังสือสัญญากู้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดผู้ตายได้โอนขายที่ดินบางส่วนให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ ดังนี้ผู้ตายย่อมหลุดพ้นจากหนี้ตามหนังสือสัญญากู้นั้น การนำสืบการหักกลบลบหนี้นั้นไม่ต้องมีหลักฐานการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4310/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสละสิทธิอุทธรณ์: ผลผูกพันและข้อยกเว้นการนำสืบหลักฐานใหม่
ระหว่างระยะเวลาที่คู่ความอาจอุทธรณ์คดีแพ่งได้ โจทก์กับจำเลยตกลงกันในการพิจารณาคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาโกงเจ้าหนี้ และเบิกความเท็จว่าโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีดังกล่าวแลกกับการที่จำเลยงดเว้นการใช้สิทธิอุทธรณ์คดีแพ่ง จำเลยยืนยันรับข้อตกลงดังกล่าว เมื่อโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาตามข้อตกลงแล้ว ก็ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธิอุทธรณ์คดีนี้ไปแล้วตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยจะกลับมาใช้สิทธิอุทธรณ์คดีแพ่งไม่ได้ ศาลฎีการับฟังสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลในอีกคดีหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ได้ เพราะโจทก์ย่อมไม่อาจนำสืบถึงรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวในศาลชั้นต้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3868/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาหมั้นผิดนัด: การคืนของหมั้น สินสอด ค่าทดแทนความเสียหาย และการพิสูจน์ความเสียหายที่แท้จริง
ชายหญิงตกลงกันในวันสู่ขอว่าจะไปจดทะเบียนสมรสหลังพิธีแต่งงานแล้ว ต่อมาชายเป็นฝ่ายที่ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสอันเป็นการผิดสัญญาหมั้น ชายจะเรียกของหมั้นและสินสอดคืนไม่ได้ ทั้งไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายที่ได้ใช้จ่ายไปในการเตรียมการสมรส เงินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อซื้อบ้านอยู่อาศัยไม่มีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส แต่เป็นข้อตกลงนำเอามาเป็นเงินกองทุนเพื่อใช้เป็นที่อยู่และที่ทำมาหากินระหว่างชายกับหญิง หลังจากแต่งงานกันแล้ว เมื่อไม่มีการจดทะเบียนสมรสกันฝ่ายหญิงต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้ฝ่ายชาย หนี้เงินตามเช็คที่ชายหญิงยังมีข้อต่อสู้โต้เถียงกันอยู่จะนำมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ชายหญิงมีอยู่ต่อกันไม่ได้ หญิงฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากชายผิดสัญญาหมั้น แต่ข้อนำสืบของหญิงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหญิงได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงในการที่ชายผิดสัญญาหมั้นอย่างไรบ้าง การที่หญิงกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าได้รับความเสียหายยังไม่เพียงพอที่ศาลจะรับฟังว่าหญิงได้รับความเสียหายอันจะกำหนดให้ชายรับผิดชดใช้ค่าทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลียนแบบเครื่องหมายการค้า: การพิจารณาความเหมือน/คล้ายกันจากส่วนประกอบหลักและการประเมินเจตนาทุจริต
โจทก์มีหนังสือรับรองของเจ้าพนักงานโนตารีบับลิกแห่งประเทศไทย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันมาแสดงต่อศาล ซึ่งมีข้อความรับรองว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ได้รับการลงนามและประทับตรากำกับในนามของบริษัท โดยคำสั่งของคณะกรรมการและผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองได้กระทำเพื่อบริษัทดังกล่าวแล้วทุกประการ จำเลยมิได้คัดค้านว่าหนังสือรับรองดังกล่าวเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้อง ทั้งมิได้นำสืบให้เห็นว่าผู้ลงลายมือชื่อไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เช่นนี้ ผู้มอบอำนาจเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ได้ การมอบอำนาจจึงถูกต้องใช้ได้
โจทก์ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าใช้กับรองเท้าเป็นรูปแถบโค้งประดิษฐฺ์และรูปแถบโค้งประดิษฐ์ประกอบด้วยอักษรโรมันคำว่า PUMA (พูม่า) โดยติดอยู่ข้างรองเท้าสินค้าของโจทก์ มีลักษณะโค้งมน ส่วนล่างกว้าง 5 เซนติเมตรครึ่งแล้วค่อย ๆ รีเล็กลง ส่วนที่จรดกับตะเข็บส้นรองเท้ากว้างเพียง 1 เซนติเมตร เครื่องหมายนี้ต่างกับลักษณะของตะเข็บรองเท้าทั่ว ๆ ไป และมีสีสรรสวยงามตัดกับสีพื้นรองเท้ามองเห็นอย่างเด่นชัด จึงถือได้ว่าเครื่องหมายแถบโค้งดังกล่าวเป็นเครื่องหมายการค้าตามมาตราในมาตรา 3 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474
จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า 2 แบบ เป็นรูปประดิษฐ์ลักษณะเหมือนกล้องยาเส้นหงายขึ้นและตะขอหงาย จึงแตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แต่จำเลยผลิตและจำหน่ายรองเท้าโดยใช้เครื่องหมายแถบโค้งเหมือนกับของโจทก์ทุกประการ สินค้ารองเท้าบางแบบของจำเลยเพียงแต่มาประทับตัวหนังสืออักษรโรมันคำว่า LONG HORN ไว้ที่หุ้มข้อด้านหลังเหนือแถบโค้งที่เรียวมาบรรจบกันเท่านั้น ซึ่งต่างไปจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่มีอักษรโรมันว่า PUMA บ้าง หรือรูปเสือกำลังกระโจนอยู่เหนือแถบโค้งบ้างที่ส้นรองเท้าบ้าง เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ มีรูปแถบโค้งเป็นส่วนประกอบหลักหรือส่วนประกอบสำคัญเพราะเป็นส่วนที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด และมีรูปตัวอักษรโรมัน PUMA หรือรูปเสือกระโจนเป็นส่วนประกอบรองหรือส่วนประกอบย่อยเพราะประชาชนมุ่งดูรูปแถบโค้งเป็นที่หมายแห่งสินค้าของโจทก์ยิ่งกว่าดูรูปตัวอักษรโรมัน PUMA หรือรูปเสือกระโจน การพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าลักษณะดังกล่าวเหมือนหรือคล้ายกันกับของจำเลยหรือไม่จำต้องพิจารณาส่วนประกอบหลักหรือส่วนประกอบสำคัญเป็นเกณฑ์ เมื่อส่วนประกอบหลักหรือส่วนประกอบปลีกย่อยจะต่างกันซึ่งมองเห็นได้ยาก จึงถือได้ว่าจำเลยเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และการที่จำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ลักษณะหนึ่งซึ่งต่างกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แต่นำมาใช้อีกอย่างหนึ่ง แตกต่างจากที่ขอจดทะเบียนไว้โดยใช้ให้เหมือนกับของโจทก์ แสดงถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยและเป็นการจงใจเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์แล้ว
โจทก์ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าใช้กับรองเท้าเป็นรูปแถบโค้งประดิษฐฺ์และรูปแถบโค้งประดิษฐ์ประกอบด้วยอักษรโรมันคำว่า PUMA (พูม่า) โดยติดอยู่ข้างรองเท้าสินค้าของโจทก์ มีลักษณะโค้งมน ส่วนล่างกว้าง 5 เซนติเมตรครึ่งแล้วค่อย ๆ รีเล็กลง ส่วนที่จรดกับตะเข็บส้นรองเท้ากว้างเพียง 1 เซนติเมตร เครื่องหมายนี้ต่างกับลักษณะของตะเข็บรองเท้าทั่ว ๆ ไป และมีสีสรรสวยงามตัดกับสีพื้นรองเท้ามองเห็นอย่างเด่นชัด จึงถือได้ว่าเครื่องหมายแถบโค้งดังกล่าวเป็นเครื่องหมายการค้าตามมาตราในมาตรา 3 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474
จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า 2 แบบ เป็นรูปประดิษฐ์ลักษณะเหมือนกล้องยาเส้นหงายขึ้นและตะขอหงาย จึงแตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แต่จำเลยผลิตและจำหน่ายรองเท้าโดยใช้เครื่องหมายแถบโค้งเหมือนกับของโจทก์ทุกประการ สินค้ารองเท้าบางแบบของจำเลยเพียงแต่มาประทับตัวหนังสืออักษรโรมันคำว่า LONG HORN ไว้ที่หุ้มข้อด้านหลังเหนือแถบโค้งที่เรียวมาบรรจบกันเท่านั้น ซึ่งต่างไปจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่มีอักษรโรมันว่า PUMA บ้าง หรือรูปเสือกำลังกระโจนอยู่เหนือแถบโค้งบ้างที่ส้นรองเท้าบ้าง เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ มีรูปแถบโค้งเป็นส่วนประกอบหลักหรือส่วนประกอบสำคัญเพราะเป็นส่วนที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด และมีรูปตัวอักษรโรมัน PUMA หรือรูปเสือกระโจนเป็นส่วนประกอบรองหรือส่วนประกอบย่อยเพราะประชาชนมุ่งดูรูปแถบโค้งเป็นที่หมายแห่งสินค้าของโจทก์ยิ่งกว่าดูรูปตัวอักษรโรมัน PUMA หรือรูปเสือกระโจน การพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าลักษณะดังกล่าวเหมือนหรือคล้ายกันกับของจำเลยหรือไม่จำต้องพิจารณาส่วนประกอบหลักหรือส่วนประกอบสำคัญเป็นเกณฑ์ เมื่อส่วนประกอบหลักหรือส่วนประกอบปลีกย่อยจะต่างกันซึ่งมองเห็นได้ยาก จึงถือได้ว่าจำเลยเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และการที่จำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ลักษณะหนึ่งซึ่งต่างกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แต่นำมาใช้อีกอย่างหนึ่ง แตกต่างจากที่ขอจดทะเบียนไว้โดยใช้ให้เหมือนกับของโจทก์ แสดงถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยและเป็นการจงใจเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความ, การบอกกล่าวบังคับจำนอง, และการยอมรับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน
ทนายโจทก์เบิกความยืนยันว่า ว.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความตั้งแต่ทนายโจทก์ และ ส. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโจทก์และได้ติดต่อการงานกับ ว. ยืนยันลายมือชื่อของ ว. เช่นนี้รับฟังได้ว่า ว. ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ตั้งแต่งทนายความโดยชอบโดยโจทก์ไม่จำต้องนำ ว.มาเบิกความยืนยันในเรื่องนี้อีก ทนายความผู้ได้รับตั้งแต่งย่อมมีอำนาจเรียกคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อโจทก์ได้ยื่นใบแต่งทนายความต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 แล้ว โจทก์ก็ไม่จำต้องระบุอ้างใบแต่งทนายความในบัญชีระบุพยานอีก
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยไม่ได้กำหนดข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องอำนาจการบอกกล่าวบังคับจำนองไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ดังที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินฉะนั้น เอกสารซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่จำเป็นแก่คดีที่จะต้องอ้างมาเป็นพยานหลักฐานอีก ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยไม่ได้กำหนดข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องอำนาจการบอกกล่าวบังคับจำนองไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ดังที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินฉะนั้น เอกสารซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่จำเป็นแก่คดีที่จะต้องอ้างมาเป็นพยานหลักฐานอีก ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นโดยไม่มีใบหุ้นและขัดต่อระเบียบตลาดหลักทรัพย์ ศาลไม่รับฟังว่าจำเลยสั่งขายหุ้นจริง
ในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่โจทก์ในฐานะเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ได้กระทำแทนจำเลยผู้เป็นลูกค้าของโจทก์ ปรากฏว่าพยานโจทก์ที่อ้างว่ารู้เห็นในการสั่งขายหุ้นของจำเลยมีคนเดียวคือ ก.ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินทุนของโจทก์ ส่วนพยานนอกนั้นรวมทั้ง ด. ซึ่งโจทก์ส่งไปทำหน้าที่ซื้อขายหลักทรัพย์ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้คอยรับคำสั่งจาก ก. แม้ ด.จะเบิกความว่าระหว่างทำการขายหุ้นตามคำสั่งจำเลย จำเลยได้โทรศัพท์มาถาม ด. ตอบว่าขายได้ 1,700 หุ้น หุ้นที่เหลือ1,300 หุ้นจะขายหรือไม่ จำเลยตอบว่าพอแล้ว ซึ่งข้อความดังกล่าวขัดกับข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ที่ว่าการสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ต้องกระทำผ่านสำนักงานของสมาชิกเท่านั้นลูกค้าไม่มีสิทธิติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่มีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยได้โทรศัพท์ไปถาม ด.จริง คำพยานโจทก์ที่อ้างว่าติดต่อกับจำเลยโดยตรงคงมีแต่คำของ ก. และเอกสารต่าง ๆโจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียวโดยประสงค์จะให้มีพยานหลักฐานทุกขั้นตอนของการขายหุ้นโดยเฉพาะสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์กับผู้ซื้อมีข้อความชัดว่าต้องปฏิบัติตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ทุกประการ แต่การขายหุ้นพิพาท ก. กลับเบิกความรับว่าเมื่อจำเลยมาพบ ก. ที่บริษัทโจทก์ ก็ได้ทำใบสั่งซื้อสั่งขายให้จำเลยลงนาม แต่การขายหุ้นพิพาทโจทก์ไม่ได้ให้จำเลยทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ และจำเลยไม่มีใบหุ้นที่จะขายการที่โจทก์ว่าจำเลยไม่มีใบหุ้น แล้วโจทก์ยังเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ถือว่าโจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งห้ามสมาชิกขายหลักทรัพย์โดยไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง ฉะนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะกลับขายหุ้นให้จำเลยโดยมีจำเลยไม่มีใบหุ้น มาให้ขายเพราะโจทก์ต้องส่งมอบใบหุ้น ที่ขายให้ผู้ซื้อภายใน 4 วันตามระเบียบตลาดหลักทรัพย์ การกระทำของโจทก์จึงเท่ากับเป็นการขายตัวเลขไม่ใช่ขายหุ้น ประกอบกับจำเลยนำหลักทรัพย์มาประกันต่อโจทก์โดยนำเงินมาฝากโจทก์และโจทก์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยมีวงเงินเพียง 406,500 บาทแต่โจทก์กลับอ้างว่า จำเลยสั่งให้โจทก์ขายหุ้นหลังจากหักค่านายหน้าของโจทก์แล้วเป็นเงิน 6,158,251 บาทหากเป็นจริงก็จะทำให้โจทก์ต้องหาซื้อหุ้นมาให้ผู้ซื้อแทนจำเลยมากกว่าหลักประกันที่จำเลยวางไว้แก่โจทก์และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิ่งใดซึ่งจะให้โจทก์เชื่อถือนอกจากเงินที่ฝากโจทก์ไว้ จึงไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะยอมขายหุ้นให้จำเลยโดยจำเลยไม่มีใบหุ้นจะขาย ดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยได้สั่งให้โจทก์ขายหุ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่าและการหักล้างข้อสันนิษฐานเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องตกลงหย่าขาดจากกันและทำบันทึกยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้องแต่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นของผู้ร้อง เช่นนี้ หากฟังได้ดังที่ผู้ร้องอ้าง กรณีก็มิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา แต่เป็นการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1532 แม้ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ต้องฟังพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลงดสืบพยานผู้ร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ