พบผลลัพธ์ทั้งหมด 29 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีทิ้งฟ้อง & ละเมิดจากจัดการงานเกินอำนาจ
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีในกรณีทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 นั้น กฎหมายให้อำนาจศาลไว้เพื่อใช้ตามสมควรแก่กรณี ไม่ใช่เป็นบทบัญญัติบังคับว่าจะต้องจำหน่ายคดีเสมอไป ถ้าศาลใช้ดุลพินิจไม่สั่งจำหน่ายคดีก็ต้องชี้ขาดตัดสินไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 133
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ละเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ ไม่ควบคุมดูแลและไม่ตรวจสอบติดตามว่าได้ใช้เงินจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นไปเกินกว่างบประมาณที่โจทก์จัดสรร และไม่รายงานให้จำเลยที่ 1ทราบ ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้รายงานถึงจำนวนหนี้ให้โจทก์ทราบก่อนวันสิ้นปีงบประมาณ ทำให้โจทก์ไม่สามารถขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม เป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. คำฟ้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องให้รับผิดในลักษณะละเมิดซึ่งมีอายุความ 1 ปี มิใช่เป็นการฟ้องใช้สิทธิไล่เบี้ยซึ่งมีอายุความ10 ปี
ป.พ.พ. มาตรา 396 บัญญัติว่า "ถ้าการที่เข้าจัดการงานนั้นเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการก็ดี หรือขัดกับความประสงค์ตามที่พึงสันนิษฐานได้ก็ดี และผู้จัดการก็ควรจะได้รู้สึกเช่นนั้นแล้วด้วยไซร้ ท่านว่าผู้จัดการจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตัวการ เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่การที่ได้เข้าจัดการนั้น แม้ทั้งผู้จัดการจะมิได้มีความผิดประการอื่น"หมายความว่า ผู้จัดการได้เข้าจัดการงานอันเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือขัดกับความประสงค์ที่พึงสันนิษฐานได้ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าตัวการไม่ประสงค์เช่นนั้น หรือน่าจะรู้ว่าตัวการไม่ประสงค์เช่นนั้น การที่จำเลยที่ 1จัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. และนำไปใช้ในหน่วยงานในสังกัดของโจทก์ หลังจากหมดงบประมาณแล้ว และโจทก์ก็เคยรับแจ้งให้จัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.ซึ่งโจทก์ก็รับรู้และยอมรับการปฏิบัติดังกล่าวเรื่อยมา กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ทำไปตามอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้บริหารหน่วยงาน หาใช่ทำไปโดยขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของโจทก์ตามมาตรา 396 ไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ละเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ ไม่ควบคุมดูแลและไม่ตรวจสอบติดตามว่าได้ใช้เงินจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นไปเกินกว่างบประมาณที่โจทก์จัดสรร และไม่รายงานให้จำเลยที่ 1ทราบ ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้รายงานถึงจำนวนหนี้ให้โจทก์ทราบก่อนวันสิ้นปีงบประมาณ ทำให้โจทก์ไม่สามารถขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม เป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. คำฟ้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องให้รับผิดในลักษณะละเมิดซึ่งมีอายุความ 1 ปี มิใช่เป็นการฟ้องใช้สิทธิไล่เบี้ยซึ่งมีอายุความ10 ปี
ป.พ.พ. มาตรา 396 บัญญัติว่า "ถ้าการที่เข้าจัดการงานนั้นเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการก็ดี หรือขัดกับความประสงค์ตามที่พึงสันนิษฐานได้ก็ดี และผู้จัดการก็ควรจะได้รู้สึกเช่นนั้นแล้วด้วยไซร้ ท่านว่าผู้จัดการจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตัวการ เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่การที่ได้เข้าจัดการนั้น แม้ทั้งผู้จัดการจะมิได้มีความผิดประการอื่น"หมายความว่า ผู้จัดการได้เข้าจัดการงานอันเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือขัดกับความประสงค์ที่พึงสันนิษฐานได้ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าตัวการไม่ประสงค์เช่นนั้น หรือน่าจะรู้ว่าตัวการไม่ประสงค์เช่นนั้น การที่จำเลยที่ 1จัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. และนำไปใช้ในหน่วยงานในสังกัดของโจทก์ หลังจากหมดงบประมาณแล้ว และโจทก์ก็เคยรับแจ้งให้จัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.ซึ่งโจทก์ก็รับรู้และยอมรับการปฏิบัติดังกล่าวเรื่อยมา กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ทำไปตามอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้บริหารหน่วยงาน หาใช่ทำไปโดยขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของโจทก์ตามมาตรา 396 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการหนี้ของหน่วยงานราชการโดยผู้กำกับดูแล หากเป็นการทำตามหน้าที่และหน่วยงานรับรู้ ไม่ถือเป็นการขัดความประสงค์
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีในกรณีทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132นั้นกฎหมายให้อำนาจศาลไว้เพื่อใช้ตามสมควรแก่กรณีไม่ใช่เป็นบทบัญญัติบังคับว่าจะต้องจำหน่ายคดีเสมอไปถ้าศาลใช้ดุลพินิจไม่สั่งจำหน่ายคดีก็ต้องชี้ขาดตัดสินไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา133 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่2ละเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์ไม่ควบคุมดูแลและไม่ตรวจสอบติดตามว่าได้ใช้เงินจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นไปเกินกว่างบประมาณที่โจทก์จัดสรรและไม่รายงานให้จำเลยที่1ทราบทำให้จำเลยที่1ไม่ได้รายงานถึงจำนวนหนี้ให้โจทก์ทราบก่อนวันสิ้นปีงบประมาณทำให้โจทก์ไม่สามารถขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. คำฟ้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องให้รับผิดในลักษณะละเมิดซึ่งมีอายุความ1ปีมิใช่เป็นการฟ้องใช้สิทธิไล่เบี้ยซึ่งมีอายุความ10ปี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา396บัญญัติว่า"ถ้าการที่เข้าจัดการงานนั้นเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการก็ดีหรือขัดกับความประสงค์ตามที่พึงสันนิษฐานได้ก็ดีและผู้จัดการก็ควรจะได้รู้สึกเช่นนั้นแล้วด้วยไซร้ท่านว่าผู้จัดการจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตัวการเพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันเกิดแต่การที่ได้เข้าจัดการนั้นแม้ทั้งผู้จัดการจะมิได้มีความผิดประการอื่น"หมายความว่าผู้จัดการได้เข้าจัดการงานอันเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการหรือขัดกับความประสงค์ที่พึงสันนิษฐานได้ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าตัวการไม่ประสงค์เช่นนั้นการที่จำเลยที่1จัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. และนำไปใช้ในหน่วยงานในสังกัดของโจทก์หลังจากหมดงบประมาณแล้วและโจทก์ก็เคยรับแจ้งให้จัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.ซึ่งโจทก์ก็รับรู้และยอมรับการปฏิบัติดังกล่าวเรื่อยมากรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่1ทำไปตามอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้บริหารหน่วยงานหาใช่ทำไปโดยขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของโจทก์ตามมาตรา396ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่รับคำให้การและการพิจารณาคดีต่อเนื่อง ผลกระทบต่อคำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลย เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันที ตามป.วิ.พ.มาตรา 228 (3)
ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป และศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน ตาม ป.วิ.พ. 228 วรรคสอง จนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว การที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำให้การใหม่ ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นประการใดย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี
ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป และศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน ตาม ป.วิ.พ. 228 วรรคสอง จนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว การที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำให้การใหม่ ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นประการใดย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาถึงที่สุด แม้มีข้อสงสัยเรื่องการรับคำให้การ การไต่สวนใหม่ไม่กระทบผล
ศาลสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลยเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา228(3) ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การศาลชั้นต้นได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปและศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา228วรรคสองจนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใดคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วการที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำให้การใหม่ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นประการใดย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายถ่านสังเคราะห์, การผิดสัญญา, ค่าเสียหาย, และการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
การทิ้งฟ้อง กฎหมายไม่ได้บังคับให้จำต้องจำหน่ายคดีเสมอไป แม้โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 7 วัน แต่เมื่อโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์มาให้ศาลแพ่งจัดการให้ ศาลชั้นต้นซึ่งถือว่าทำการแทนศาลอุทธรณ์ ก็สั่งว่าจัดการให้ แล้วต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มิได้จำหน่ายคดี ของโจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133 ให้อำนาจไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีของโจทก์ต่อมาจึงถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบ
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัท ด.จำกัด จำเลยทำสัญญาขอรับโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์โดยให้ค่าตอบแทนสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่หรือไม่
ข้อสัญญาที่ว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าตอบแทนให้เสร็จในกำหนดตามสัญญาถือว่าสัญญาสิ้นผลบังคับ และจำเลยยินยอมชดใช้เบี้ยปรับแก่โจทก์ ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญาจำเลยจะอ้างสิทธิรับซื้อถ่านสังเคราะห์ในนามโจทก์ต่อไปไม่ได้ กับต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับ และสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะสำเร็จหรือไม่สุดแต่ใจลูกหนี้
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัท ด.จำกัด จำเลยทำสัญญาขอรับโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์โดยให้ค่าตอบแทนสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่หรือไม่
ข้อสัญญาที่ว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าตอบแทนให้เสร็จในกำหนดตามสัญญาถือว่าสัญญาสิ้นผลบังคับ และจำเลยยินยอมชดใช้เบี้ยปรับแก่โจทก์ ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญาจำเลยจะอ้างสิทธิรับซื้อถ่านสังเคราะห์ในนามโจทก์ต่อไปไม่ได้ กับต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับ และสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะสำเร็จหรือไม่สุดแต่ใจลูกหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายถ่านสังเคราะห์: การผิดสัญญา, ค่าเสียหาย, และการแปลงหนี้
การทิ้งฟ้อง กฎหมายไม่ได้บังคับให้จำต้องจำหน่ายคดีเสมอไป แม้โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 7 วัน แต่เมื่อโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์มาให้ศาลแพ่งจัดการให้ ศาลชั้นต้นซึ่งถือว่าทำการแทนศาลอุทธรณ์ ก็สั่งว่าจัดการให้ แล้วต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มิได้จำหน่ายคดีของโจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 133 ให้อำนาจไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีของโจทก์ต่อมาจึงถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบ
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัท ด. จำกัด จำเลยทำสัญญาขอรับโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์โดยให้ค่าตอบแทนสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่งจึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่หรือไม่
ข้อสัญญาที่ว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าตอบแทนให้เสร็จในกำหนดตามสัญญาถือว่าสัญญาสิ้นผลบังคับ และจำเลยยินยอมชดใช้เบี้ยปรับแก่โจทก์ ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญาจำเลยจะอ้างสิทธิรับซื้อถ่านสังเคราะห์ในนามโจทก์ต่อไปไม่ได้ กับต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับ และสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะสำเร็จหรือไม่สุดแต่ใจลูกหนี้
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัท ด. จำกัด จำเลยทำสัญญาขอรับโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์โดยให้ค่าตอบแทนสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่งจึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่หรือไม่
ข้อสัญญาที่ว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าตอบแทนให้เสร็จในกำหนดตามสัญญาถือว่าสัญญาสิ้นผลบังคับ และจำเลยยินยอมชดใช้เบี้ยปรับแก่โจทก์ ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญาจำเลยจะอ้างสิทธิรับซื้อถ่านสังเคราะห์ในนามโจทก์ต่อไปไม่ได้ กับต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับ และสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะสำเร็จหรือไม่สุดแต่ใจลูกหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 425/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีสิ้นสุดเมื่อจำเลยขาดนัดสืบพยาน ศาลมีอำนาจพิพากษาได้โดยไม่ต้องแจ้ง
วันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลสืบตัวโจทก์จวนจะหมดปากแล้วทนายจำเลยจึงเพิ่งมาศาลยื่นคำร้องขอเลื่อนศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนและสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานัดต่อมาซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาลศาลจึงสั่งงดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปในวันนั้นดังนี้ถือได้ว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อศาลสั่งงดสืบพยานจำเลย ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาคดีไปในวันที่มีคำสั่งนั้นได้โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 425/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการพิจารณาคดีและการพิพากษาเมื่อจำเลยไม่มาศาลตามนัด
วันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลสืบตัวโจทก์จวนจะหมดปากแล้ว หมายจำเลยจึงเพิ่งมาศาลยื่นคำร้องขอเลื่อน ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนและสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานัดต่อมาซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาล ศาลจึงสั่งงดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปในวันนั้น ดังนี้ ถือได้ว่า การพิจาราณาดคดีดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อศาลสั่งงดสืบพยานจำเลย ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาคดีไปในวันที่มีคำสั่งนั้นได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจจำหน่ายคดีตามมาตรา 132 ไม่ใช่หน้าที่ ศาลต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาตามพฤติการณ์
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 นั้น กฎหมายให้อำนาจศาลไว้เพื่อใช้ตามสมควรแก่กรณี ไม่ใช่บังคับว่าจะต้องจำหน่ายคดีเสมอไป ถ้าศาลใช้ดุลพินิจไม่สั่งจำหน่ายก็ต้องชี้ขาดตัดสินไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้องให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยหากขัดข้องให้แถลงศาลภายใน 3 วัน โจทก์ไม่ได้รายงานเหตุขัดข้องตามที่ศาลสั่ง ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยให้
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้องให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยหากขัดข้องให้แถลงศาลภายใน 3 วัน โจทก์ไม่ได้รายงานเหตุขัดข้องตามที่ศาลสั่ง ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีและการใช้ดุลยพินิจของศาลในการพิจารณาเหตุทิ้งฟ้อง
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา132 นั้น กฎหมายให้อำนาจศาลไว้เพื่อใช้ตามสมควรแก่กรณี ไม่ใช่บังคับว่าจะต้องจำหน่ายคดีเสมอไป ถ้าศาลใช้ดุลยพินิจไม่สั่งจำหน่ายก็ต้องชี้ขาดตัดสินไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 133 หมายเหตุ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้องให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยหากขัดข้องให้แถลงศาลภายใน 3 วัน โจทก์ไม่ได้รายงานเหตุข้อข้องตามที่ศาลสั่ง ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาศาลฎีการับวินิจฉัยให้