พบผลลัพธ์ทั้งหมด 64 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินบริคณห์เพื่อชำระหนี้: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์สินบริคณห์แปลงเดียวที่เหลืออยู่เพื่อชำระหนี้ไม่ถือเป็นการยึดเกินความจำเป็น
หนี้ตามคำพิพากษาประมาณ 2,500 บาท เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินราคา 40,000 บาท ที่ดินนี้เป็นสินบริคณห์ของจำเลยกับผู้ร้อง และเป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวของจำเลยที่ไม่มีกรณีพิพาท ส่วนทรัพย์อื่นกำลังเป็นคดีพิพาทกันทั้งสิ้น การยึดนี้ไม่เป็นการยึดทรัพย์เกินความจำเป็น (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1177/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดีเกินความจำเป็นและเจตนาของเจ้าหนี้: หลักเกณฑ์การรับผิดค่าธรรมเนียม
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล โดยจำเลยที่ 1 ยอมใช้เงินแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ยอมรับประกัน ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน โดยก่อนจะยึดก็ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ขณะทำการยึดเจ้าพนักงานปิดประกาศหมายยึด จำเลยที่ 2 ก็ฉีกทำลายเสีย ทั้งได้ความว่าจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์ให้ยึดจริง เช่นนี้ คดีจึงยังไม่พอฟังว่าโจทก์แกล้งยึดโดยไม่สุจริต หรือเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างใดไม่ ฉะนั้น แม้จะมีการชำระหนี้ภายหลังครบถ้วนแล้วก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมการยึดที่ไม่มีการขายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1177/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดี การพิสูจน์ความสุจริตของผู้บังคับคดี และการรับผิดในค่าธรรมเนียม
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล โดยจำเลยที่ 1 ยอมใช้เงินแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ยอมรับประกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน โดยก่อนจะยึดก็ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ขณะทำการยึดเจ้าพนักงานปิดประกาศหมายยึด จำเลยที่ 2 ก็ฉีกทำลายเสีย ทั้งได้ความว่าจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์ให้ยึดจริง เช่นนี้ คดีจึงยังไม่พอฟังว่าโจทก์แกล้งยึดโดยไม่สุจริต หรือเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างใดไม่ ฉะนั้น แม้จะมีการชำระหนี้ภายหลังครบถ้วนแล้วก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมการยึดที่ไม่มีการขายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการยึดทรัพย์: การยึดทรัพย์ทั้งแปลงเพื่อชำระหนี้เป็นไปตามกฎหมาย หากจำเลยไม่คัดค้านหรือเพิกเฉย
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 34,000 บาทเศษ และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้น 30,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเลย เจ้าพนักงานจึงต้องยึดที่ทั้งแปลงราคาประมาณ 100,000 บาท แม้ต่อมาจำเลยจะได้ผ่อนชำระหนี้ไปถึง 35,000 บาท หากจำเลยเห็นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดสวนยางของจำเลยทั้งแปลงมากเกินความจำเป็น ก็ชอบที่จะร้องขอให้เจ้าพนักงานแบ่งยึดแต่พอควร หากจำเลยเห็นควรแบ่งขายให้พอดีกับหนี้สินที่ค้าง จำเลยก็น่าจะได้แถลงให้ศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ในวันขาย จำเลยได้มองให้ทนายความมาระวังผลประโยชน์ของจำเลย ทนายความมิได้ทักท้วงในเรื่องนี้ แสดงว่าทนายจำเลยก็เห็นชอบด้วย จะยกเป็นเหตุคัดค้านเมื่อขายทอดตลาดสำเร็จแล้วย่อมไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการยึดทรัพย์สินเกินความจำเป็น ผู้ผิดพลาดต้องดำเนินการคัดค้านตั้งแต่แรก
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 34,000 บาทเศษ และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในเงินต้น 30,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเลย เจ้าพนักงานจึงต้องยึดที่ทั้งแปลงราคาประมาณ 100,000 บาท แม้ต่อมาจำเลยจะได้ผ่อนชำระหนี้ไปถึง 35,000 บาท หากจำเลยเห็นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดสวนยางของจำเลยทั้งแปลงมากเกินความจำเป็น ก็ชอบที่จะร้องขอให้เจ้าพนักงานแบ่งยึดแต่พอควร หากจำเลยเห็นควรแบ่งขายให้พอดีกับหนี้สินที่ค้าง จำเลยก็น่าจะได้แถลงให้ศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ในวันขายจำเลยได้มอบให้ทนายความมาระวังผลประโยชน์ของจำเลย ทนายความมิได้ทักท้วงในเรื่องนี้ แสดงว่าทนายจำเลยก็เห็นชอบด้วย จะยกเป็นเหตุคัดค้านเมื่อขายทอดตลาดสำเร็จแล้วย่อมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: เมื่อการขายทอดตลาดเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจขอให้ขายใหม่ แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องราคาหรือประเภทที่ดิน
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไปตามคำสั่งศาลเสร็จสิ้นแล้ว และไม่ปรากฏว่าได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยย่อมไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นขอให้ขายที่ดินใหม่ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: เมื่อขายทอดตลาดเสร็จสิ้นแล้ว ลูกหนี้ไม่มีอำนาจขอให้ขายใหม่ แม้จะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับราคาหรือรายละเอียด
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไปตามคำสั่งศาลเสร็จสิ้นแล้ว และไม่ปรากฏว่าได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาจำเลยย่อมไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นขอให้ขายที่ดินใหม่ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775-776/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อนุญาตขยายเวลา ยื่นฎีกา เหตุสุดวิสัยไม่ครอบคลุมละเลยหน้าที่ และจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องคัดค้านการยึดทรัพย์
เมื่อเลยกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้วจำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งยืดเวลาให้จำเลยมีโอกาสยื่นฎีกา โดยอ้างว่าทนายจำเลยมอบฉันทะให้ผู้อื่นไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทน ผู้รับมอบฉันทะนั้นฟังแล้วมิได้แจ้งผลของคำพิพากษาให้ทนายทราบเพราะความเจ็บป่วยพลั้งเผลอหลงลืมทนายจำเลยจึงไม่ทราบผลคำพิพากษา ส่วนจำเลยเองไปต่างจังหวัดและล้มป่วย เพิ่งทุเลาและมาพบกับทนายหลังวันครบกำหนดยื่นฎีกาแล้วพากันไปสืบที่ศาล จึงทราบว่าได้อ่านคำพิพากษาไปจนเลยกำหนดเวลายื่นฎีกาเสียแล้ว ดังนี้ เหตุเท่าที่อ้างนั้นมิใช่เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยอันจะมีคำขอภายหลังสิ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาได้ และไม่พึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายกำหนดเวลายื่นฎีกาด้วยศาลย่อมสั่งยกคำร้องได้โดยมิต้องไต่สวนก่อน
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ไปขายทอดตลาด แม้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะรู้ว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของตน ลูกหนี้ก็ไม่มีหน้าที่ต้องคัดค้านหรือโต้แย้งการนำยึดนั้น ทั้งไม่มีหน้าที่ต้องบอกกล่าวให้เจ้าของทรัพย์นั้นทราบด้วย และเมื่อลูกหนี้นั้นไม่ได้ร่วมกับเจ้าหนี้กระทำการยึดทรัพย์นั้นมาขายทอดตลาดด้วยประการใด ก็จะฟังว่าได้ร่วมกระทำละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ไม่ได้แม้เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นถูกนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้และลูกหนี้ก็ยอมรับเอาประโยชน์นั้นด้วย ก็จะถือเป็นเหตุว่าลูกหนี้นั้นได้ร่วมกับเจ้าหนี้กระทำละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ไม่ได้อยู่นั่นเอง
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ไปขายทอดตลาด แม้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะรู้ว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของตน ลูกหนี้ก็ไม่มีหน้าที่ต้องคัดค้านหรือโต้แย้งการนำยึดนั้น ทั้งไม่มีหน้าที่ต้องบอกกล่าวให้เจ้าของทรัพย์นั้นทราบด้วย และเมื่อลูกหนี้นั้นไม่ได้ร่วมกับเจ้าหนี้กระทำการยึดทรัพย์นั้นมาขายทอดตลาดด้วยประการใด ก็จะฟังว่าได้ร่วมกระทำละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ไม่ได้แม้เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นถูกนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้และลูกหนี้ก็ยอมรับเอาประโยชน์นั้นด้วย ก็จะถือเป็นเหตุว่าลูกหนี้นั้นได้ร่วมกับเจ้าหนี้กระทำละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ไม่ได้อยู่นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินธรณีสงฆ์ขายทอดตลาด: จำเลยไม่ต้องรับผิดคืนเงินค่าที่ดิน ผู้เสียหายควรเรียกร้องจากเจ้าหนี้
โจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาล เงินได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาไปหมดแล้ว ภายหลังปรากฏว่า ที่ดินที่ขายทอดตลาดของศาลเป็นที่ธรณีสงฆ์ โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ โดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย ตั้งแต่ยึดจนกระทั้งขาย คือ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นฝ่ายนำยึด ศาลสั่งขาย จำเลยหาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่ ทั้งจำเลยไม่ได้รับเงินค่าซื้อขายที่ดินอันไม่มีมูลหนี้จะต้องใช้คืนแก่โจทก์ จำเลยไม่ได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใด คดีไม่เข้าลักษณะลาภมิควรได้ โจทก์จะเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2503)
ผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสียหาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนควรเป็นผู้รับผิดชอบในการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบนี้ หาใช่จำเลยไม่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2503)
ผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสียหาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนควรเป็นผู้รับผิดชอบในการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบนี้ หาใช่จำเลยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินธรณีสงฆ์ขายทอดตลาด: จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินคืน แม้โจทก์ซื้อแล้ว เพราะไม่ใช่ความผิดจำเลย
โจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาลเงินได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาไปหมดแล้ว ภายหลังปรากฏว่า ที่ดินที่ขายทอดตลาดของศาลเป็นที่ธรณีสงฆ์ โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้โดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย ตั้งแต่ยึดจนกระทั่งขาย คือ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นฝ่ายนำยึดศาลสั่งขาย จำเลยหาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่ ทั้งจำเลยไม่ได้รับเงินค่าซื้อขายที่ดินอันไม่มีมูลหนี้จะต้องใช้คืนแก่โจทก์ จำเลยไม่ได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใด คดีไม่เข้าลักษณะลาภมิควรได้ โจทก์จะเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2503)
ผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสียหาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนควรเป็นผู้รับผิดชอบในการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบนี้ หาใช่จำเลยไม่
ผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสียหาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนควรเป็นผู้รับผิดชอบในการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบนี้ หาใช่จำเลยไม่