คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 243

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 785 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีละเมิดปิดกั้นลำน้ำสาธารณะ: โจทก์ต้องมีเสียหายเป็นพิเศษและมีสิทธิโดยตรง
จำเลยให้การว่า ลำบางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ และนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั่นเอง ครั้นคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะ ฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลากและทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฏว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาท แม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องในคดีรื้อถอนสิ่งกีดขวางลำน้ำสาธารณะ: โจทก์ต้องเสียหายเป็นพิเศษหรือไม่
จำเลยให้การว่า ลำบางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะและนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2 เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเอง ครั้งคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลาก และทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฎว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาทแม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4717/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินและค่าใช้ที่ดิน: ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์ โดยจำเลยก่อสร้างตีนช้างหรือฐานรากอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชดใช้ค่าใช้ที่ดินในกรณีที่ตีนช้างหรือฐานรากอาคารของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมในส่วนที่รุกล้ำนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 จึงเป็นข้อพิพาทคนละประเด็นกัน มิใช่ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อที่ดินที่ก่อสร้างตีนช้างผิดพลาดไปเป็นเนื้อที่ดินครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดินที่ผิดพลาดนี้ไม่ว่าจะคิดเฉพาะจุดที่ก่อสร้างตีนช้างหรือจะคิดเป็นเนื้อที่ตลอดแนวความยาวก่อสร้างตีนช้างทั้งแถวย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงการกำหนดค่าใช้ที่ดินของศาลให้ผิดพลาดไปด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเสียใหม่ และกำหนดค่าเสียหายลดลงจากที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4717/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ค่าเสียหายบุกรุก: ศาลฎีกาแก้ค่าใช้ที่ดินจากข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์โดยจำเลยก่อสร้างตีนช้างหรือฐานรากอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชดใช้ค่าใช้ที่ดินในกรณีที่ตีนช้างหรือบานรากอาคารของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กับให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมในส่วนที่รุกล้ำนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1312จึงเป็นข้อพิพาทคนละประเด็นกันมิใช่ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148 ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อที่ดินที่ก่อสร้างตีนช้างผิดพลาดไปเป็นเนื้อที่ดินครึ่งต่อครึ่งซึ่งจำนวนเนื้อที่ดินที่ผิดพลาดนี้ไม่ว่าจะคิดเฉพาะจุดที่ก่อสร้างตีนช้างหรือจะคิดเป็นเนื้อที่ตลอดแนวความยาวก่อสร้างตีนช้างทั้งแถวย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงการกำหนดค่าใช้ที่ดินของศาลให้ผิดพลาดไปด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเสียใหม่และกำหนดค่าเสียหายลดลงจากที่ศาลทั้งสองกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3806/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียก/สำเนาคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อปิดที่ป้ายโรงเรียนในวันหยุดราชการและไม่มีผู้รับ
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยการปิดไว้ที่ป้ายโรงเรียนซึ่งจำเลยรับราชการเป็นครูใหญ่ในวันหยุดราชการและไม่มีผู้ใดอยู่โดยโรงเรียนไม่มีรั้วล้อมรอบป้ายโรงเรียนอยู่ติดถนนสาธารณะตัวอาคารเรียนอยู่ลึกเข้าไปข้างในสามารถเดินเข้าไปได้และหน้าห้องธุรการโรงเรียนมีแผ่นป้ายสามารถปิดประกาศต่างๆได้ถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งคำคู่ความโดยปิดณสำนักทำการงานของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา79วรรคแรกทั้งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนชอบที่ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนด และการสละประเด็นข้อกฎหมายโดยโจทก์-จำเลย
ประเด็นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์บอกล้างแล้วหรือไม่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในชั้นชี้สองสถานและโจทก์จำเลยก็มิได้คัดค้านการชี้สองสถานดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละประเด็นนั้นแล้วดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อจนยอมลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองที่พิพาทให้จำเลยโดยที่จำเลยไม่มีเจตนาที่จะชำระราคาที่ดินพิพาทให้โจทก์สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์ได้บอกล้างแล้วจึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งสมควรให้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243ประกอบด้วยมาตรา247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นสัญญาซื้อขายที่ดินโมฆียะที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินกรอบประเด็นข้อพิพาทเดิม
ประเด็นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์บอกล้างแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในชั้นชี้สองสถาน และโจทก์จำเลยก็มิได้คัดค้านการชี้สองสถานดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละประเด็นนั้นแล้ว ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อจนยอมลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองที่พิพาทให้จำเลย โดยที่จำเลยไม่มีเจตนาที่จะชำระราคาที่ดินพิพาทให้โจทก์ สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์ได้บอกล้างแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท และไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น เป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่ง สมควรให้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243ประกอบด้วยมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3176/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและขอบเขตความรับผิดของผู้รับอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงิน: การพิจารณาความแตกต่างของข้อตกลง
คดีเดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินในฐานะที่จำเลยที่1เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและจำเลยที่2เป็นผู้รับอาวัลศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งเป็นการเรียกร้องให้รับผิดตามสัญญาอีกฉบับหนึ่งต่างหากจากตั๋วสัญญาใช้เงินจึงเป็นคนละประเด็นกับที่โจทก์และจำเลยที่1พิพาทกันในคดีเดิมฟ้องโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำแต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาที่จำเลยที่1จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนี้จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นเสียก่อนแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี สำหรับฟ้องของโจทก์ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่2นั้นตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อความระบุถึงจำเลยที่2เพียงว่าจำเลยที่2ผู้รับอาวัลได้ทราบข้อตกลงในการที่จำเลยที่1ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายให้แก่โจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้วทุกประการจำเลยที่2ยินยอมรับอาวัลและลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับอาวัลไม่ปรากฏว่ามีข้อความอื่นใดในลักษณะเป็นการค้ำประกันคงระบุแต่เพียงว่าเป็นผู้รับอาวัลแม้จะระบุถึงเรื่องการผ่อนเวลาไว้ก็คงเป็นการกล่าวถึงความรับผิดของจำเลยที่2ในฐานะผู้รับอาวัลซึ่งต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลอื่นตนประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา940โดยไม่อาจอ้างเรื่องการผ่อนเวลาตามหลักค้ำประกันทั่วไปในมาตรา700ข้อต่อสู้ได้ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่2คดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่2ร่วมรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินอันเป็นประเด็นข้อวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีเดิมและเมื่อคดีเดิมถึงที่สุดแล้วฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่2คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3176/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ vs. ประเด็นใหม่: ความรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการขาย
คดีเดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัล ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้รับผิดตามสัญญาอีกฉบับหนึ่งต่างหากจากตั๋วสัญญาใช้เงิน จึงเป็นคนละประเด็นกับที่โจทก์และจำเลยที่ 1 พิพาทกันในคดีเดิม ฟ้องโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนี้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นเสียก่อนแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
สำหรับฟ้องของโจทก์ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 นั้น ตามหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อความระบุถึงจำเลยที่ 2 เพียงว่า จำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัลได้ทราบข้อตกลงในการที่จำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายให้แก่โจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้วทุกประการ จำเลยที่ 2 ยินยอมรับอาวัล และลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับอาวัล ไม่ปรากฎว่ามีข้อความอื่นใดในลักษณะเป็นการค้ำประกันคงระบุแต่เพียงว่าเป็นผู้รับอาวัล แม้จะระบุถึงเรื่องการผ่อนเวลาไว้ก็คงเป็นการกล่าวถึงความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับอาวัลซึ่งต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลที่ตนประกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 940 โดยไม่อาจอ้างเรื่องการผ่อนเวลาตามหลักค้ำประกันทั่วไปในมาตรา 700 ขึ้นต่อสู้ได้ ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 คดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน อันเป็นประเด็นข้อวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีเดิม และเมื่อคดีเดิมถึงที่สุดแล้วฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นข้อพิพาทไม่เหมือนเดิม แม้คู่ความเดียวกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว แต่พิพากษากลับไม่ถูกต้อง
โจทก์และจำเลยคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีก่อนแต่ในคดีก่อนศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้ประเด็นในคดีมีว่าบันทึกที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ทำขึ้นเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์นั้นจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันมิใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อนแม้คดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวแต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะว่าเป็นฟ้องซ้ำแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำก็ต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีย่อมไม่ถูกต้อง
of 79