คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 243

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 785 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่ายังไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อนตัดสิน
โจทก์ตกลงเช่าห้องอาหารของจำเลยเป็นเวลา 1 ปี แบ่งชำระค่าเช่าเป็น 4 งวด โจทก์ได้ชำระค่าเช่างวดแรกให้จำเลยครบถ้วนแล้วคู่กรณีโต้เถียงกันว่า เหตุที่ไม่อาจทำสัญญาเป็นหนังสือกันได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดข้อตกลง ดังนี้ ฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้มีนิติสัมพันธ์กันแล้วตามข้อตกลงในเรื่องการเช่าแต่เหตุที่ยังไม่อาจทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรได้เพราะยังคงโต้เถียงกันจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไปหาใช่กรณีเป็นที่สงสัยอันจะเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ให้ถือว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสองไม่ทั้งเงินที่จำเลยรับไว้จากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นลาภมิควรได้ เพราะจำเลยรับไว้เป็นค่าเช่างวดแรกตามข้อตกลงจึงไม่ใช่รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้การที่ศาลล่างด่วนตัดพยานทั้งที่คู่กรณียังมีข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่เช่นนี้เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่ายังไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อนตัดสิน
โจทก์ตกลงเช่าห้องอาหารของจำเลยเป็นเวลา1ปีแบ่งชำระค่าเช่าเป็น4งวดโจทก์ได้ชำระค่าเช่างวดแรกให้จำเลยครบถ้วนแล้วคู่กรณีโต้เถียงกันว่าเหตุที่ไม่อาจทำสัญญาเป็นหนังสือกันได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดข้อตกลงดังนี้ฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้มีนิติสัมพันธ์กันแล้วตามข้อตกลงในเรื่องการเช่าแต่เหตุที่ยังไม่อาจทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรได้เพราะยังคงโต้เถียงกันจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไปหาใช่กรณีเป็นที่สงสัยอันจะเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ให้ถือว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา366วรรคสองไม่ทั้งเงินที่จำเลยรับไว้จากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นลาภมิควรได้เพราะจำเลยรับไว้เป็นค่าเช่างวดแรกตามข้อตกลงจึงไม่ใช่รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้การที่ศาลล่างด่วนตัดพยานทั้งที่คู่กรณียังมีข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่เช่นนี้เป็นการไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3340/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ต้องห้าม: ศาลฎีกาชี้ว่าการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล (นำเงินมาชำระหนี้/หาประกัน) ทำให้คำอุทธรณ์ไม่รับพิจารณา แม้จะขอขยายเวลา
จำเลยอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับโดยวินิจฉัยว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายและยื่นคำร้องขอเลื่อนการนำหลักประกันมาวางศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด10วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและสั่งในคำร้องขอเลื่อนการนำหลักประกันมาวางศาลในทำนองยกคำขอจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยวินิจฉัยในเนื้อหาของอุทธรณ์ว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามแต่ไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องจำเลยขอขยายกำหนดเวลานำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลเป็นเหตุให้จำเลยฎีกาต่อมาได้แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นบางข้อเป็นข้อที่จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้อยู่แล้วข้ออื่นนอกนั้นก็ล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลจะอนุญาตคำขอของจำเลยก็ไม่มีประโยชน์แก่คดีของจำเลยเพราะในที่สุดจะไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามไปได้ศาลฎีกาย่อมพิพากษายืนให้ขยายระยะเวลาให้ตาม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2284/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่ทำให้ได้สิทธิครอบครอง หากไม่แจ้งเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ
ประเด็นข้อพิพาทซึ่งปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวน
การครอบครองที่พิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่พิพาท แม้จะครอบครองที่พิพาทมาช้านานเท่าใด ก็ไม่อาจยกเอาการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นมาอ้างอิงได้นอกจากจะได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 ก่อนจึงจะอ้างสิทธิครอบครองตามมาตรา 1375 ขึ้นมาอ้างอิงได้
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทของเจ้าของที่พิพาทไว้เพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยได้ไปขอให้ทางการออกน.ส. 3 แล้ว ต่อมาเจ้าของที่พิพาทได้ไปคัดค้านไว้ กรณีเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทโดยบอกกล่าวไปยังเจ้าของที่พิพาทว่าตนไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่พิพาทไว้แทนเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1381 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2529)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2284/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่ทำให้ได้สิทธิครอบครอง หากไม่ได้แจ้งเปลี่ยนลักษณะการยึดถือตามกฎหมาย
ประเด็นข้อพิพาทซึ่งปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยไว้ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวน. การครอบครองที่พิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่พิพาทแม้จะครอบครองที่พิพาทมาช้านานเท่าใดก็ไม่อาจยกเอาการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375ขึ้นมาอ้างอิงได้นอกจากจะได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา1381ก่อนจึงจะอ้างสิทธิครอบครองตามมาตรา1375ขึ้นมาอ้างอิงได้. การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทของเจ้าของที่พิพาทไว้เพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยได้ไปขอให้ทางการออกน.ส.3แล้วต่อมาเจ้าของที่พิพาทได้ไปคัดค้านไว้กรณีเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทโดยบอกกล่าวไปยังเจ้าของที่พิพาทว่าตนไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่พิพาทไว้แทนเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา1381แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์(วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่3/2529).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน การรับผิดของนายจ้างในความเสียหายจากการกระทำของลูกจ้าง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้าง อันเป็นผลให้จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุ ต้องรับผิดร่วมในการละเมิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นดังกล่าวเลย การรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นการวินิจฉัยโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 4 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 4 จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความรับผิดทางละเมิดของนายจ้าง จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริง หากไม่มี ถือเป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากหลักฐาน
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่2เป็นนายจ้างจำเลยที่1และจำเลยที่1กระทำไปในทางการที่จ้างอันเป็นผลให้จำเลยที่2กับจำเลยที่4ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุต้องรับผิดร่วมในการละเมิดของจำเลยที่1ต่อโจทก์เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นดังกล่าวเลยการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นจึงเป็นการวินิจฉัยโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุนเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่2ที่4เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่2ที่4จึงเป็นการไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมขายฝากไม่โมฆะ แม้ผู้รับซื้อฝากมอบอำนาจต่อบุคคลอื่น หากผู้ขายไม่ได้เจาะจงตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญ
การแสดงเจตนาถ้าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมย่อมเป็นโมฆะ และตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมก็อาจเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมได้ถ้าการทำนิติกรรมนั้นถือเอาตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญ แต่ในบางกรณีตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเนื่องจากจุดประสงค์เพราะต้องการเพียงเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เดือดร้อนเรื่องเงินและรู้จักกับนาง อ.มารดาจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อฝากที่ดินเป็นธุรกิจ โจทก์ตกลงขายฝากที่ดินไว้แก่นาง อ.เพราะไม่รู้จักจำเลยมาก่อน แต่นาง อ.กับจำเลยได้สมคบกันฉ้อฉลทำหนังสือมอบอำนาจมารับซื้อฝากใส่ชื่อจำเลยไว้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการไถ่คืนในภายหลังเพราะจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทย นิติกรรมการขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ นั้น คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างให้เห็นเลยว่าเหตุใดจึงเจาะจงที่จะขายฝากไว้แก่นาง อ.อันพอจะทำให้เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถือเอาตัวบุคคลที่จะรับซื้อฝากเป็นสาระสำคัญ คงเห็นได้แต่เพียงว่าโจทก์ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น การที่นาง อ.หรือจำเลยจะเป็นผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีผลต่างกัน เพราะโจทก์ได้รับค่าขายฝากไปครบถ้วนแล้ว เหตุตามคำฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะ คดีพอวินิจฉัยได้หาจำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไปไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในนิติกรรม: ตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญหรือไม่ พิจารณาจากเจตนาและความจำเป็นในการไถ่คืน
การแสดงเจตนาถ้าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมย่อมเป็นโมฆะและตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมก็อาจเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมได้ถ้าการทำนิติกรรมนั้นถือเอาตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญแต่ในบางกรณีตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเนื่องจากจุดประสงค์เพราะต้องการเพียงเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เดือดร้อนเรื่องเงินและรู้จักกับนางอ.มารดาจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อฝากที่ดินเป็นธุรกิจโจทก์ตกลงขายฝากที่ดินไว้แก่นางอ.เพราะไม่รู้จักจำเลยมาก่อนแต่นางอ.กับจำเลยได้สมคบกันฉ้อฉลทำหนังสือมอบอำนาจมรรับซื้อฝากใส่ชื่อจำเลยไว้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการไถ่คืนในภายหลังเพราะจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทยนิติกรรมการขายฝากจึงตกเป็นโมฆะนั้นคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างให้เห็นเลยว่าเหตุใดจึงเจาะจงที่จะขายฝากไว้แก่นางอ.อันพอจะทำให้เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถือเอาตัวบุคคลที่จะรับซื้อฝากเป็นสาระสำคัญคงเห็นได้แต่เพียงว่าโจทก์ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้นการที่นางอ.หรือจำเลยจะเป็นผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีผลต่างกันเพราะโจทก์ได้รับค่าขายฝากไปครบถ้วนแล้วเหตุตามคำฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะคดีพอวินิจฉัยได้หาจำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไปไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5037/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะผู้รับเหมาชั้นต้นกับการรับผิดในค่าจ้าง: ต้องมีฐานะนายจ้างตามกฎหมาย จึงจะรับผิดได้
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ข้อ 7 เป็นบทบังคับให้ผู้รับเหมาชั้นต้นซึ่งมิได้เป็นนายจ้างของลูกจ้างมีหน้าที่ต้องรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้รับเหมาช่วงที่เป็นนายจ้างของลูกจ้างในหนี้เงินบางประเภทดังที่กำหนดไว้มิได้หมายความว่าผู้รับเหมาชั้นต้นมีฐานะเป็นนายจ้างของลูกจ้างไปด้วย สภาพของการเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 2 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยและจำเลยให้การว่ามิได้เป็นนายจ้าง ไม่เคยว่าจ้างโจทก์ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยหรือไม่ หากโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยให้รับผิดในฐานะเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นซึ่งมิได้เป็นนายจ้างของโจทก์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103ข้อ 7 ก็ชอบที่จะต้องบรรยายฟ้องให้ปรากฏถึงฐานะของจำเลยให้แจ้งชัด ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้จำเลยมิได้เป็นนายจ้างของโจทก์ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นนั้น เป็นเรื่องนอกเหนือคำฟ้องและคำให้การ
of 79