พบผลลัพธ์ทั้งหมด 785 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาการพนัน: ความชัดเจนของช่วงเวลาความผิดและพยานหลักฐานการจับกุม
คดีเกี่ยวกับการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบนั้น แม้ว่าฟ้องของโจทก์ระบุละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดโดยกว้างขวางมาก(บรรยายว่าระหว่างตั้งแต่เดือนใดไม่ปรากฎชัดในปี 2495 ถึงวันที่ 29 ต.ค. 96) ก็ตามเมื่อสภาพความผิดชนิดที่ฟ้องนี้เป็นการที่ผู้กระทำได้กระทำอยู่เนือง ๆ ตลอดมาซึ่งโจทก์อาจจะไม่รู้ได้ว่าจำเลยได้กระทำแต่ละครั้งวันใดบ้าง แต่ก็คงกระทำในระหว่างวันเวลาตามที่กล่าวในฟ้องนั้นเอง และในฟ้องของโจทก์ยังได้ระบุวันที่เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลาง (วันที่ 29 ตุลาคม 96) หลายอย่างซึ่งเกี่ยวกับการที่จำเลยจำหน่ายสลาก ดังนี้จำเลยก็ย่อมเข้าใจได้ดีว่าจำเลยถูกจับได้ของกลางในวันที่ 29 ต.ค. 96 อันเป็นสิ่งที่แสดงว่าจำเลยได้กระทำผิดในระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวหานั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อ ก.ม.โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม ก.ม.ให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อ ก.ม.โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม ก.ม.ให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีพนัน: การระบุช่วงเวลาที่ไม่ชัดเจนแต่แสดงถึงการกระทำต่อเนื่องและมีหลักฐานสนับสนุน
คดีเกี่ยวกับการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบนั้น แม้ว่าฟ้องของโจทก์ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดโดยกว้างขวางมาก (บรรยายว่าระหว่างตั้งแต่เดือนใดไม่ปรากฏชัดในปี 2495 ถึงวันที่ 29 ต.ค.96) ก็ตามเมื่อสภาพความผิดชนิดที่ฟ้องนี้เป็นการที่ผู้กระทำได้กระทำอยู่เนืองๆ ตลอดมา ซึ่งโจทก์อาจจะไม่รู้ได้ว่าจำเลยได้กระทำแต่ละครั้งวันใดบ้าง แต่ก็คงกระทำในระหว่างวันเวลาตามที่กล่าวในฟ้องนั้นเอง และในฟ้องของโจทก์ยังได้ระบุวันที่เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลาง (วันที่ 29 ต.ค.96) หลายอย่างซึ่งเกี่ยวกับการที่จำเลยจำหน่ายสลาก ดังนี้จำเลยก็ย่อมเข้าใจได้ดีว่าจำเลยถูกจับได้ของกลางในวันที่ 29 ต.ค.96 อันเป็นสิ่งที่แสดงว่าจำเลยได้กระทำผิดในระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวหานั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อกฎหมาย โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม กฎหมาย ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่18/2498)
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อกฎหมาย โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม กฎหมาย ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่18/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีพนัน: การระบุช่วงเวลาความผิดและการพิสูจน์จากของกลาง
คดีเกี่ยวกับการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบนั้น แม้ว่าฟ้องของโจทก์ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดโดยกว้างขวางมาก (บรรยายว่าระหว่างตั้งแต่เดือนใดไม่ปรากฏชัดในปี 2495 ถึงวันที่ 29 ต.ค.96) ก็ตามเมื่อสภาพความผิดชนิดที่ฟ้องนี้เป็นการที่ผู้กระทำได้กระทำอยู่เนืองๆ ตลอดมา ซึ่งโจทก์อาจจะไม่รู้ได้ว่าจำเลยได้กระทำแต่ละครั้งวันใดบ้าง แต่ก็คงกระทำในระหว่างวันเวลาตามที่กล่าวในฟ้องนั้นเอง และในฟ้องของโจทก์ยังได้ระบุวันที่เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลาง (วันที่ 29 ต.ค.96) หลายอย่างซึ่งเกี่ยวกับการที่จำเลยจำหน่ายสลาก ดังนี้จำเลยก็ย่อมเข้าใจได้ดีว่าจำเลยถูกจับได้ของกลางในวันที่ 29 ต.ค.96 อันเป็นสิ่งที่แสดงว่าจำเลยได้กระทำผิดในระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวหานั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อกฎหมาย โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม กฎหมาย ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่18/2498)
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์ในข้อกฎหมาย โดยยังไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นตาม กฎหมาย ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่หรือจะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปเสียทีเดียวก็ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่18/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมให้เช่าใหม่และการงดใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า สัญญาเช่าเดิมมีผลหรือไม่
โจทก์ฟ้องผู้เช่าโดยอาศัยความยินยอมของจำเลยท้ายสัญญาเช่าว่าครบกำหนดเวลาเช่าแล้วออกไปภายใน 6 เดือน และภายในระยะ 6 เดือนนี้จำเลยอยู่ในฐานะผู้อาศัยไม่ใช่ผู้เช่า
เมื่อคดีนี้ได้ความว่าได้เช่ากันมา 10 ปีแล้วไม่ใช่เพียงเข้าไปอยู่ และไม่ใช่ทำสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นครั้งแรก และได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เช่าเหตุส่วนตัวของผู้ให้เช่าคนเก่ากับคนใหม่อาจไม่เหมือนกันทั้งคำว่า "ได้รับความยินยอม" ในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาตรา 16(5)นั้นเป็นคำกว้างรวมทั้งความยินยอมที่ให้ใช้เป็นสัญญาด้วย ฉะนั้นความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าใหม่เช่นคดีนี้อาจเป็นความประสงค์เพื่องดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯดังคำพิพากษาฎีกาที่ 769/2494 ก็ได้ หรืออาจเป็นความยินยอมตาม มาตรา 16(5) ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1779/2492,802/96 และ 1046-52/2496ก็ได้ และถ้าผู้เช่าได้ให้ความยินยอมตามมาตรา 16(5) แล้วภายหลังกลับใจจะชำระค่าเช่าให้แต่ฝ่ายผู้ให้เช่าไม่ยอมรับ ก็หาเป็นเหตุให้ความยินยอมที่ผู้เช่าให้ไว้นั้นกลายเป็นความประสงค์จะชดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไปได้ไม่
เมื่อคดีนี้ได้ความว่าได้เช่ากันมา 10 ปีแล้วไม่ใช่เพียงเข้าไปอยู่ และไม่ใช่ทำสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นครั้งแรก และได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เช่าเหตุส่วนตัวของผู้ให้เช่าคนเก่ากับคนใหม่อาจไม่เหมือนกันทั้งคำว่า "ได้รับความยินยอม" ในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาตรา 16(5)นั้นเป็นคำกว้างรวมทั้งความยินยอมที่ให้ใช้เป็นสัญญาด้วย ฉะนั้นความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าใหม่เช่นคดีนี้อาจเป็นความประสงค์เพื่องดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯดังคำพิพากษาฎีกาที่ 769/2494 ก็ได้ หรืออาจเป็นความยินยอมตาม มาตรา 16(5) ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1779/2492,802/96 และ 1046-52/2496ก็ได้ และถ้าผู้เช่าได้ให้ความยินยอมตามมาตรา 16(5) แล้วภายหลังกลับใจจะชำระค่าเช่าให้แต่ฝ่ายผู้ให้เช่าไม่ยอมรับ ก็หาเป็นเหตุให้ความยินยอมที่ผู้เช่าให้ไว้นั้นกลายเป็นความประสงค์จะชดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไปได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมเลิกสัญญาเช่าและการงดใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า การเปลี่ยนแปลงผู้ให้เช่ามีผลต่อความยินยอมหรือไม่
โจทก์ฟ้องผู้เช่าโดยอาศัยความยินยอมของจำเลยท้ายสัญญาเช่าว่าครบกำหนดเวลาเช่าแล้วออกไปภายใน 6 เดือน และภายในระยะ 6 เดือนนี้จำเลยอยู่ในฐานะผู้อาศัยไม่ใช่ผู้เช่า
เมื่อคดีนี้ได้ความว่าได้เช่ากันมา 10 ปีแล้วไม่ใช่เพียงเข้าไปอยู่ และไม่ใช่ทำสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นครั้งแรก และได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เช่าเหตุส่วนตัวของผู้ให้เช่าคนเก่ากับคนใหม่อาจไม่เหมือนกันทั้งคำว่า "ได้รับความยินยอม" ในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาตรา 16(5)นั้นเป็นคำกว้างรวมทั้งความยินยอมที่ให้ใช้เป็นสัญญาด้วย ฉะนั้นความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าใหม่เช่นคดีนี้อาจเป็นความประสงค์เพื่องดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯดังคำพิพากษาฎีกาที่ 769/2494 ก็ได้ หรืออาจเป็นความยินยอมตาม มาตรา 16(5) ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1779/2492,802/96 และ 1046-52/2496ก็ได้ และถ้าผู้เช่าได้ให้ความยินยอมตามมาตรา 16(5) แล้วภายหลังกลับใจจะชำระค่าเช่าให้แต่ฝ่ายผู้ให้เช่าไม่ยอมรับ ก็หาเป็นเหตุให้ความยินยอมที่ผู้เช่าให้ไว้นั้นกลายเป็นความประสงค์จะชดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไปได้ไม่
เมื่อคดีนี้ได้ความว่าได้เช่ากันมา 10 ปีแล้วไม่ใช่เพียงเข้าไปอยู่ และไม่ใช่ทำสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นครั้งแรก และได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เช่าเหตุส่วนตัวของผู้ให้เช่าคนเก่ากับคนใหม่อาจไม่เหมือนกันทั้งคำว่า "ได้รับความยินยอม" ในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาตรา 16(5)นั้นเป็นคำกว้างรวมทั้งความยินยอมที่ให้ใช้เป็นสัญญาด้วย ฉะนั้นความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าใหม่เช่นคดีนี้อาจเป็นความประสงค์เพื่องดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯดังคำพิพากษาฎีกาที่ 769/2494 ก็ได้ หรืออาจเป็นความยินยอมตาม มาตรา 16(5) ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1779/2492,802/96 และ 1046-52/2496ก็ได้ และถ้าผู้เช่าได้ให้ความยินยอมตามมาตรา 16(5) แล้วภายหลังกลับใจจะชำระค่าเช่าให้แต่ฝ่ายผู้ให้เช่าไม่ยอมรับ ก็หาเป็นเหตุให้ความยินยอมที่ผู้เช่าให้ไว้นั้นกลายเป็นความประสงค์จะชดใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไปได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ และผลกระทบต่อการงดใช้กฎหมาย
โจทก์ฟ้องผู้เช่าโดยอาศัยความยินยอมของจำเลยท้ายสัญญาเช่าว่าครบกำหนดเวลาเช่าแล้วจะออกไปภายใน 6 เดือนและภายในระยะ 6 เดือนนี้จำเลยอยู่ในฐานะผู้อาศัยไม่ใช่ผู้เช่า
เมื่อคดีนี้ได้ความว่าได้เช่ากันมา 10 ปี แล้วไม่ใช่เพียงเข้าไปอยู่และไม่ใช่ทำสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นครั้งแรก และได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เช่า เหตุส่วนตัวของผู้ให้เช่าคนเก่ากับคนใหม่อาจไม่เหมือนกันทั้งคำว่า "ได้รับความยินยอม" ใน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯม. 16(5) นั้นเป็นคำกว้างรวมทั้งความยินยอมที่ให้ใช้เป็นสัญญาด้วย ฉนั้นความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าใหม่คดีนี้อาจเป็นความประสงค์เพื่องดใช้พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 769/2494 ก็ได้ หรืออาจเป็นความยินยอมตาม ม.16 (5) ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1779/2493,803/96 และ 1046-52/2496 ก็ได้ และถ้าผู้เช่าได้ให้ความยินยอมตาม ม. 16(5) แล้วภายหลังกลับใจจะชำระค่าเช่าให้แต่ฝ่ายผู้ให้เช่าไม่ยอมรับก็หาเป็นเหตุให้ความยินยอมที่ผู้เช่าให้ไว้นั้นกลายเป็นความประสงค์จะงดใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯไปได้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงในคดียังไม่ได้ความชัดแจ้งพอที่จะฟังว่าเป็นไปในทางใดทางหนึ่งเพราะศาลชั้นต้นสั่งงดพิจารณาเสียดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีความ
ฎีกาที่ 1779/2493
ฎีกาที่ 802/2496
ฎีกาที่ 1046-52/2496
เมื่อคดีนี้ได้ความว่าได้เช่ากันมา 10 ปี แล้วไม่ใช่เพียงเข้าไปอยู่และไม่ใช่ทำสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นครั้งแรก และได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ให้เช่า เหตุส่วนตัวของผู้ให้เช่าคนเก่ากับคนใหม่อาจไม่เหมือนกันทั้งคำว่า "ได้รับความยินยอม" ใน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯม. 16(5) นั้นเป็นคำกว้างรวมทั้งความยินยอมที่ให้ใช้เป็นสัญญาด้วย ฉนั้นความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าใหม่คดีนี้อาจเป็นความประสงค์เพื่องดใช้พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 769/2494 ก็ได้ หรืออาจเป็นความยินยอมตาม ม.16 (5) ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1779/2493,803/96 และ 1046-52/2496 ก็ได้ และถ้าผู้เช่าได้ให้ความยินยอมตาม ม. 16(5) แล้วภายหลังกลับใจจะชำระค่าเช่าให้แต่ฝ่ายผู้ให้เช่าไม่ยอมรับก็หาเป็นเหตุให้ความยินยอมที่ผู้เช่าให้ไว้นั้นกลายเป็นความประสงค์จะงดใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯไปได้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงในคดียังไม่ได้ความชัดแจ้งพอที่จะฟังว่าเป็นไปในทางใดทางหนึ่งเพราะศาลชั้นต้นสั่งงดพิจารณาเสียดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีความ
ฎีกาที่ 1779/2493
ฎีกาที่ 802/2496
ฎีกาที่ 1046-52/2496
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการลงชื่อแทนจำเลยในฟ้องอุทธรณ์ ศาลควรคืนคำคู่ความเพื่อแก้ไข ไม่ยกฟ้อง
ในฟ้องอุทธรณ์มีชื่อจำเลยเป็นผู้ยื่น แต่ในท้ายอุทธรณ์ทนายเป็นผู้ลงชื่อ อุทธรณ์นั้นศาลชั้นต้นสั่งรับแล้วฉะนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อแทนจำเลยในฟ้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะต้องคืนคำคู่ความไปให้ทำมาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา18 จะยกอุทธรณ์จำเลยเสียทีเดียวหาได้ไม่
การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์จำเลยทุกคนโดยอ้างว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในอุทธรณ์แทนจำเลยนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยเพียงคนเดียวฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยทุกคนได้
การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์จำเลยทุกคนโดยอ้างว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในอุทธรณ์แทนจำเลยนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยเพียงคนเดียวฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยทุกคนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการลงชื่อในฟ้องอุทธรณ์: ศาลควรคืนคำคู่ความเพื่อแก้ไข ไม่ยกฟ้อง
ในฟ้องอุทธรณ์มีชื่อจำเลยเป็นผู้ยื่น แต่ในท้ายอุทธรณ์ทนายเป็นผู้ลงชื่อ อุทธรณ์นั้น ศาลชั้นต้นสั่งรับแล้ว ฉะนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าทหนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อแทนจำเลยในฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะต้องคืนคำคู่ความไปให้ทำมาใหม่ให้ถูกต้องตาม วิ.แพ่ง.ม.18 จะยกอุทธรณ์จำเลยทีเดียวหาชอบไม่
การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์จำเลยทุกคนโดยอ้างว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในอุทธรณ์แทนจำเลยนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยเพียงคนเดียวฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยทุกคนได้
การที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์จำเลยทุกคนโดยอ้างว่าทนายจำเลยไม่มีอำนาจลงชื่อในอุทธรณ์แทนจำเลยนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยเพียงคนเดียวฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยทุกคนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะ 'โรงบ่มใบยา' เป็น 'ร้านค้า' ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่? ศาลต้องพิจารณาเพื่อตัดสินการยึดทรัพย์
เจ้าของสถานีบ่มใบยาถูกเจ้าพนักงานประเมินให้เสียภาษีร้านค้าตามประมวลรัษฎากร ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งว่าสถานีบ่มใบยาไม่ใช่ร้านค้าตามลำดับ เจ้าพนักงานคงยืนยันว่าเป็นร้านค้าและได้ทำการยึดทรัพย์เพื่อเสียภาษี เจ้าของสถานีบ่มใบยาจึงเป็นโจทก์ฟ้องเจ้าพนักงานขอให้ถอนการยึดและขอให้ศาลแสดงว่าโรงบ่มใบยาไม่ใช่ร้านค้า ดังนี้ คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าสถานีบ่มใบยาเป็นร้านค้าใช่หรือไม่ ศาลจะสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าสถานีบ่มใบยาไม่ใช่ร้านค้าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการแยกสินสมรส: เจ้าหนี้มีสิทธิร้องขอแยกสินบริคณห์โดยคำร้องได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีใหม่
การร้องขอแยกสินบริคณห์ในชั้นบังคับคดีเพื่อดำเนินการไปตามคำพิพากษานั้น ทำเป็นคำร้องต่อศาลได้โดยไม่ต้องฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นใหม่
ป.พ.พ.มาตรา 1483 มิได้บังคับไว้โดยชัดแจ้งว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน
ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ได้
ป.พ.พ.มาตรา 1483 มิได้บังคับไว้โดยชัดแจ้งว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน
ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ได้