พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4891/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ถือประทานบัตรฟ้องแย้งการโต้แย้งสิทธิทำเหมืองแร่ – การบุกรุกพื้นที่ประทานบัตร
ตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา73(4)ได้บัญญัติให้สิทธิผู้ถือประทานบัตรมีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลในกรณีที่มีผู้โต้แย้งหรือขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองแร่ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องว่าบริเวณที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรของจำเลยบางส่วนเป็นทางสาธารณะเท่ากับเป็นการโต้แย้งสิทธิในการทำเหมืองแร่ของจำเลยแล้วจำเลยจึงมีอำนาจฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับตามคำขอในปัญหานี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4891/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ถือประทานบัตรฟ้องแย้ง กรณีถูกโต้แย้งสิทธิทำเหมืองแร่
ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 73(4) ได้บัญญัติให้สิทธิผู้ถือประทานบัตรมีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลในกรณีที่มีผู้โต้แย้งหรือขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองแร่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องว่าบริเวณที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรของจำเลยบางส่วนเป็นทางสาธารณะเท่ากับเป็นการโต้แย้งสิทธิในการทำเหมืองแร่ของจำเลยแล้ว จำเลยจึงมีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ศาลบังคับตามคำขอในปัญหานี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยว ศาลไม่รับฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำการก่อสร้างห้องครัวโดยใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่อนุญาตขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ติดกับผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยได้ก่อสร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่มิได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ประเด็นจึงมีอยู่ว่าจำเลยได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังห้องครัวตามฟ้องหรือไม่เมื่อจำเลยให้การปฎิเสธเรื่องการใช้ผังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ดกับเหล็กดัดและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัดที่รุกล้ำที่ดินจำเลยออกไปเป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่อันเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยว ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำการก่อสร้างห้องครัวโดยใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่อนุญาต ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ติดกับผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยได้ก่อสร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่ มิได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ ประเด็นจึงมีอยู่ว่า จำเลยได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังห้องครัวตามฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธเรื่องการใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เพราะเหตุได้ก่อผนังห้องครัวขึ้นใหม่ แต่จำเลยกลับกล่าวหาว่าโจทก์ไปเจาะผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ด กับเหล็กดักและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัด ที่รุกล้ำที่ดินจำเลยออกไป เป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่อันเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4754/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาข้อห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแยกตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้ง
การพิจารณาว่าคดีตามคำฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องแยกพิจารณาต่างหากเป็นคนละส่วนกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์มีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท คดีตามฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อ-เท็จจริง ส่วนคดีตามฟ้องแย้งจำเลยเป็นคดีที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ดำเนินการทำสัญญาเช่ากับเทศบาลเมืองเพื่อให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ตอนต้น
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์มีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท คดีตามฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อ-เท็จจริง ส่วนคดีตามฟ้องแย้งจำเลยเป็นคดีที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ดำเนินการทำสัญญาเช่ากับเทศบาลเมืองเพื่อให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ตอนต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3665/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ม.57(2) และสิทธิในการฟ้องแย้ง เมื่อจำเลยให้การแล้ว
ตามคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมของจำเลยร่วมอ้างว่าจำเลยและ ท. มารดาของจำเลยร่วมได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก จ. มาตั้งแต่ปี 2490 แต่มิได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว จ.ได้ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย และ ท.จำเลยและ ท. ได้ครอบครองใช้ทำประโยชน์ตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์แล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ ต่อมา ท.ถึงแก่ความตายจำเลยร่วมผู้เป็นบุตรของ ท. จึงได้ครอบครองต่อซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าของร่วมมีฐานะเดียวกันกับจำเลย และในตอนท้ายของคำร้องก็ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมจึงเป็นการร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ไม่ใช่เป็นการเข้ามาในฐานะที่เป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57(1)เมื่อขอเข้ามาตามมาตรา 57(2) จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วม เมื่อจำเลยให้การโดยมิได้ฟ้องแย้งจำเลยร่วมจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3665/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(2) ไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งได้ หากจำเลยไม่ฟ้องแย้ง
ตามคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมของจำเลยร่วมอ้างว่าจำเลยและท.มารดาของจำเลยร่วมได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจ. มาตั้งแต่ปี2490แต่มิได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วจ.ได้ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยและท. จำเลยและท.ได้ครอบครองใช้ทำประโยชน์ตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์แล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาท. ถึงแก่ความตายจำเลยร่วมผู้เป็นบุตรของท. จึงได้ครอบครองต่อซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าของร่วมมีฐานะเดียวกันกับจำเลยและในตอนท้ายของคำร้องก็ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมจึงเป็นการร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(2)ไม่ใช่เป็นการเข้ามาในฐานะที่เป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา57(1)เมื่อขอเข้ามาตามมาตรา57(2)จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วมเมื่อจำเลยให้การโดยมิได้ฟ้องแย้งจำเลยร่วมจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3590/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท้าคดีและการบังคับตามฟ้องแย้ง ความชอบด้วยกฎหมายของการจดทะเบียนเช่าช่วง
การท้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลที่คู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่คู่ความท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลงโอนสงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา112เดิมจึงไม่เป็นนิติกรรมที่โจทก์ที่2ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองฟ้องคดีต่อศาลแทนโจทก์ที่1ซึ่งเป็นผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลตามมาตรา1574เสียก่อน เมื่อโจทก์แพ้คดีตามคำท้าจำเลยที่1ย่อมบังคับตามฟ้องแย้งได้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องแย้งเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าหรือไม่เพราะเป็นเรื่องนอกเหนือคำท้าและไม่ถือว่าอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา538แต่เมื่อจำเลยที่1เป็นผู้ฟ้องแย้งและจำเลยที่2เป็นเพียงผู้อาศัยการพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยที่2เป็นเรื่องนอกเหนือไปจากคำขอตามฟ้องแย้งจึงไม่ชอบและปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งกระทบสิทธิบุคคลภายนอก – ไม่อาจบังคับได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวและที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวและที่ดินพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ ศ. และ อ.เป็นโมฆะ โดย ศ. และ อ. รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลย จำเลยไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นการต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ เป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม แต่เมื่อมีผลกระทบถึงสิทธิของ ศ. และ อ. บุคคลภายนอกที่มิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย จึงเป็นฟ้องแย้งที่ไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรื่องโมฆะสัญญาซื้อขายกระทบสิทธิบุคคลภายนอกไม่อาจบังคับได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวและที่ดินพิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวและที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ ศ. และ อ. เป็นโมฆะโดย ศ. และ อ. รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยจำเลยไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นการต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์เป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแต่เมื่อมีผลกระทบถึงสิทธิของ ศ. และ อ.บุคคลภายนอกที่มิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วยจึงเป็นฟ้องแย้งที่ ไม่อาจบังคับได้