พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,044 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8023/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิค่าทดแทนผู้ถูกคุมขังระหว่างฎีกา: ต้องมีกฎหมายรองรับ จึงจะบังคับใช้ได้
ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับการขอรับเงินค่าทดแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุด จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ทั้งไม่อาจถือว่าการยื่นฎีกาเป็นการยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
สิทธิของบุคคลที่จะได้รับค่าทดแทนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 246 ย่อมต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกบังคับใช้ สิทธิดังกล่าวจะต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่ และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร ย่อมไม่อาจมีผู้ใดกำหนดขึ้นได้จนกว่าจะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับ ทั้งกรณีนี้มิใช่คดีแพ่ง จึงไม่อาจนำกฎหมายอื่นมาใช้ในลักษณะของกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งได้
สิทธิของบุคคลที่จะได้รับค่าทดแทนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 246 ย่อมต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกบังคับใช้ สิทธิดังกล่าวจะต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่ และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร ย่อมไม่อาจมีผู้ใดกำหนดขึ้นได้จนกว่าจะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับ ทั้งกรณีนี้มิใช่คดีแพ่ง จึงไม่อาจนำกฎหมายอื่นมาใช้ในลักษณะของกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8023/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิค่าทดแทนตามรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามกฎหมายเฉพาะ การดำเนินการใดๆ ต้องรอการตรากฎหมายรองรับ
ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับการขอรับเงินค่าทดแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุด จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ทั้งไม่อาจถือว่าการยื่นฎีกาเป็นการยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
สิทธิของบุคคลที่จะได้รับค่าทดแทนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 246 ย่อมต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกบังคับใช้ สิทธิดังกล่าวจะต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่ และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร ย่อมไม่อาจมีผู้ใดกำหนดขึ้นได้จนกว่าจะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับ ทั้งกรณีนี้มิใช่คดีแพ่ง จึงไม่อาจนำกฎหมายอื่นมาใช้ในลักษณะของกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งได้
สิทธิของบุคคลที่จะได้รับค่าทดแทนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 246 ย่อมต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อยังไม่มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกบังคับใช้ สิทธิดังกล่าวจะต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่ และจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร ย่อมไม่อาจมีผู้ใดกำหนดขึ้นได้จนกว่าจะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับ ทั้งกรณีนี้มิใช่คดีแพ่ง จึงไม่อาจนำกฎหมายอื่นมาใช้ในลักษณะของกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7850/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามมิให้วินิจฉัยเกินคำขอ และประเด็นการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบในศาลอุทธรณ์ กรณีปล้นทรัพย์
++ เรื่อง ปล้นทรัพย์ ++
ในข้อที่จำเลยฎีกาว่ามีเหตุปล้นทรัพย์หรือไม่ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่ามีการปล้นทรัพย์ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องดังที่ศาลชั้นต้นฟังมา นอกจากนั้นจำเลยยังอ้างในอุทธรณ์อีกว่าตอนเกิดเหตุปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่ในภาวะหวาดกลัวจนขาดสติสัมปชัญญะ ผู้เสียหายไม่น่าจะสามารถจำคนร้ายได้ แสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยยอมรับว่ามีเหตุการณ์ปล้นทรัพย์ดังที่ศาลชั้นต้นรับฟัง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก ประกอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 15
โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องว่า ในการปล้นทรัพย์ จำเลยหรือพวกของจำเลยคนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย อันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา340 วรรคสอง ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา และการกระทำของจำเลยตามฟ้องคงเป็นความผิดตามมาตรา 340 วรรคแรก ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่า กรณีจึงต้องห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรกปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วย มาตรา 225
ในข้อที่จำเลยฎีกาว่ามีเหตุปล้นทรัพย์หรือไม่ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่ามีการปล้นทรัพย์ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องดังที่ศาลชั้นต้นฟังมา นอกจากนั้นจำเลยยังอ้างในอุทธรณ์อีกว่าตอนเกิดเหตุปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่ในภาวะหวาดกลัวจนขาดสติสัมปชัญญะ ผู้เสียหายไม่น่าจะสามารถจำคนร้ายได้ แสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยยอมรับว่ามีเหตุการณ์ปล้นทรัพย์ดังที่ศาลชั้นต้นรับฟัง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก ประกอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 15
โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องว่า ในการปล้นทรัพย์ จำเลยหรือพวกของจำเลยคนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย อันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา340 วรรคสอง ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา และการกระทำของจำเลยตามฟ้องคงเป็นความผิดตามมาตรา 340 วรรคแรก ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่า กรณีจึงต้องห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรกปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7615/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และการพิจารณาความผิดหลายกรรม
จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเฉพาะความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีกำหนด 5 ปี เพิ่มโทษอีกกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ทั้งปัญหานี้จำเลยไม่เคยยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ กรณีเป็นการต้องห้ามมิให้ยกขึ้นฎีกาอีกโสดหนึ่งด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
แม้เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนจะเป็นยาเสพติดอยู่ในประเภท 1 ด้วยกัน แต่ก็เป็นคนละชนิดกัน และเป็นความผิดตามกฎหมายคนละมาตรากัน จำเลยมีเจตนาในการครอบครองยาเสพติดให้โทษไว้ในลักษณะต่างกัน และจำเลยเองได้ให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องหรือตามสภาพของยาเสพติดแต่ละชนิดที่ประสงค์ในการมีอยู่ไม่เหมือนกัน จึงเป็นความผิดคนละกรรม
แม้เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนจะเป็นยาเสพติดอยู่ในประเภท 1 ด้วยกัน แต่ก็เป็นคนละชนิดกัน และเป็นความผิดตามกฎหมายคนละมาตรากัน จำเลยมีเจตนาในการครอบครองยาเสพติดให้โทษไว้ในลักษณะต่างกัน และจำเลยเองได้ให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องหรือตามสภาพของยาเสพติดแต่ละชนิดที่ประสงค์ในการมีอยู่ไม่เหมือนกัน จึงเป็นความผิดคนละกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7469/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผัดส่งตัวจำเลยหลังศาลไม่รับฎีกา ผู้ประกันอ้างเหตุพิเศษ ศาลล่างวินิจฉัยชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ผู้ประกันผัดส่งตัวจำเลยตามคำร้องและมีคำสั่งให้ผู้ประกันส่งตัวจำเลยต่อศาลภายในกำหนด มิฉะนั้นจะถือว่าผิดสัญญาประกันเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำมาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15โดยต้องพิจารณาว่าการที่ผู้ประกันขอผัดส่งตัวจำเลยอันมีผลเช่นเดียวกับการขอขยายระยะเวลาต่อศาลชั้นต้นนั้นเป็นเรื่องที่มีพฤติการณ์พิเศษหรือไม่
ปู่ของจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นหลานชายคนโตต้องอยู่ร่วมประกอบพิธีทางศาสนาจนกว่าจะออกทุกข์ ผู้ประกันจึงไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลได้นั้น เป็นเพียงเหตุผลทั่วไป หาใช่พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลไม่ นอกจากนี้ผู้ประกันยังมิได้ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามสัญญาประกัน ทั้งที่ล่วงเลยกำหนดออกทุกข์ไปนานแล้ว เหตุผลที่ผู้ประกันยกขึ้นอ้างในคำร้องขอผัดส่งตัวจำเลยไม่ต้องด้วยเหตุตามกฎหมายที่จะอนุญาตได้
ปู่ของจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นหลานชายคนโตต้องอยู่ร่วมประกอบพิธีทางศาสนาจนกว่าจะออกทุกข์ ผู้ประกันจึงไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลได้นั้น เป็นเพียงเหตุผลทั่วไป หาใช่พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลไม่ นอกจากนี้ผู้ประกันยังมิได้ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามสัญญาประกัน ทั้งที่ล่วงเลยกำหนดออกทุกข์ไปนานแล้ว เหตุผลที่ผู้ประกันยกขึ้นอ้างในคำร้องขอผัดส่งตัวจำเลยไม่ต้องด้วยเหตุตามกฎหมายที่จะอนุญาตได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7469/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผัดส่งตัวจำเลยตามสัญญาประกัน: พฤติการณ์พิเศษและการปฏิบัติตามกำหนด
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ผู้ประกันผัดส่งตัวจำเลยตามคำร้องและมีคำสั่งให้ผู้ประกันส่งตัวจำเลยต่อศาลภายในกำหนด มิฉะนั้นจะถือว่าผิดสัญญาประกันเมื่อ ป.วิ.อ.มิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำมาตรา 23 แห่ง ป.วิ.พ.มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม ป.วิ.อ.มาตรา 15 โดยต้องพิจารณาว่าการที่ผู้ประกันขอผัดส่งตัวจำเลยอันมีผลเช่นเดียวกับการขอขยายระยะเวลาต่อศาลชั้นต้นนั้นเป็นเรื่องที่มีพฤติการณ์พิเศษหรือไม่
ปู่ของจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นหลานชายคนโตต้องอยู่ร่วมประกอบพิธีทางศาสนาจนกว่าจะออกทุกข์ ผู้ประกันจึงไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลได้นั้น เป็นเพียงเหตุผลทั่วไป หาใช่พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลไม่ นอกจากนี้ผู้ประกันยังมิได้ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามสัญญาประกัน ทั้งที่ล่วงเลยกำหนดออกทุกข์ไปนานแล้ว เหตุผลที่ผู้ประกันยกขึ้นอ้างในคำร้องขอผัดส่งตัวจำเลยไม่ต้องด้วยเหตุตามกฎหมายที่จะอนุญาตได้
ปู่ของจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นหลานชายคนโตต้องอยู่ร่วมประกอบพิธีทางศาสนาจนกว่าจะออกทุกข์ ผู้ประกันจึงไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลได้นั้น เป็นเพียงเหตุผลทั่วไป หาใช่พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลไม่ นอกจากนี้ผู้ประกันยังมิได้ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามสัญญาประกัน ทั้งที่ล่วงเลยกำหนดออกทุกข์ไปนานแล้ว เหตุผลที่ผู้ประกันยกขึ้นอ้างในคำร้องขอผัดส่งตัวจำเลยไม่ต้องด้วยเหตุตามกฎหมายที่จะอนุญาตได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7189/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย: ศาลรับฟังคำรับสารภาพและปริมาณยาเสพติดเป็นเหตุผลเพียงพอ
ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนถึง 68 เม็ด ไว้ในครอบครอง เมื่อนำมาฟังประกอบกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและตามทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้เสพติดเมทแอมเฟตามีน เชื่อได้ว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันบ้างเป็นเพียงพลความ จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยจำเลยเห็นว่าเป็นการขัดกันในข้อสาระสำคัญนั้น เห็นว่า จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ มาในฎีกา โดยมิได้มีรายละเอียดแสดงให้เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญอย่างไรบ้าง ฎีกาข้อนี้เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันบ้างเป็นเพียงพลความ จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยจำเลยเห็นว่าเป็นการขัดกันในข้อสาระสำคัญนั้น เห็นว่า จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ มาในฎีกา โดยมิได้มีรายละเอียดแสดงให้เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญอย่างไรบ้าง ฎีกาข้อนี้เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6873/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: หนังสือมอบอำนาจไม่ถูกต้อง ทำให้โจทก์ขาดอำนาจฟ้อง
ในการฟ้องคดีอาญาของผู้เสียหาย ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์มีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าอำนาจฟ้องของโจทก์เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์คงมีแต่ บ. ผู้ช่วยเลขานุการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อในนามของโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารโดยมิได้มีการประทับตราสำคัญของโจทก์กำกับไว้ตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจ จึงถือไม่ได้ว่า บ. ได้กระทำการโดยชอบในฐานะผู้แทนบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล มีผลเท่ากับโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อ ในหนังสือมอบอำนาจฟ้องคดีนี้ได้โดยชอบ ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งทนายความฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ยื่นสำเนาหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ในชั้นฎีกาตามเอกสารท้ายฎีกาโดยฝ่ายจำเลยไม่มีโอกาสนำสืบหักล้าง จึงไม่อาจรับฟังได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยบางคนที่หลบหนี ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่ายกฟ้องจำเลยคนใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์คงมีแต่ บ. ผู้ช่วยเลขานุการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อในนามของโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารโดยมิได้มีการประทับตราสำคัญของโจทก์กำกับไว้ตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจ จึงถือไม่ได้ว่า บ. ได้กระทำการโดยชอบในฐานะผู้แทนบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล มีผลเท่ากับโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อ ในหนังสือมอบอำนาจฟ้องคดีนี้ได้โดยชอบ ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งทนายความฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ยื่นสำเนาหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ในชั้นฎีกาตามเอกสารท้ายฎีกาโดยฝ่ายจำเลยไม่มีโอกาสนำสืบหักล้าง จึงไม่อาจรับฟังได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยบางคนที่หลบหนี ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่ายกฟ้องจำเลยคนใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการลงชื่อยื่นอุทธรณ์/ฎีกาแทนโจทก์ร่วม และการขยายระยะเวลา
คดีอาญา เมื่อโจทก์ร่วมแต่งตั้งให้ ท.เป็นทนายความโดยให้มีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกา ท.จึงลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์แทนโจทก์ร่วมได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 62 ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 โดยไม่จำต้องรอให้โจทก์ร่วมเป็นผู้ลงลายมือชื่อด้วยตนเอง ข้ออ้างของทนายโจทก์ร่วมที่ว่ายังไม่ได้รับแบบพิมพ์ท้ายอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ร่วมลงลายมือชื่อกลับคืนมาจึงยังไม่สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการลงชื่อแทนจำเลยในการอุทธรณ์/ฎีกา และเหตุขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์
คดีอาญา เมื่อโจทก์ร่วมแต่งตั้งให้ ท. เป็นทนายความโดยให้มีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกา ท. จึงลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์แทนโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 62 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โดยไม่จำต้องรอให้โจทก์ร่วมเป็นผู้ลงลายมือชื่อด้วยตนเองข้ออ้างของทนายโจทก์ร่วมที่ว่ายังไม่ได้รับแบบพิมพ์ท้ายอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ร่วมลงลายมือชื่อกลับคืนมาจึงยังไม่สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมได้