พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,044 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5369/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลพลเรือนจำกัดเมื่อจำเลยเป็นนายทหาร การประทับฟ้องก่อนทราบสถานะจำเลยเป็นกระบวนการผิดหลง
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยยื่นคำร้องและคำให้การยกข้อต่อสู้ว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลพลเรือนด้วยเหตุจำเลยรับราชการทหารตรงกับคำฟ้องของโจทก์ที่ยื่นไว้ และข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลชั้นต้นตั้งแต่บัดนั้นแล้วว่า จำเลยเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการ จำเลยจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารพ.ศ. 2498 มาตรา 16(1) ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลพลเรือนจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีจำเลยก่อนมีคำสั่งประทับฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้เลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องไปอีกหลายครั้งและได้ทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งรับประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดหลง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีในเวลาต่อมาภายหลังเป็นการแก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง มิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งประทับฟ้องไว้ในขณะที่ยังไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลทหารหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5100/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธร้ายแรงเข้าศาลฯ ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลและไม่เคารพกฎหมาย ศาลฎีกายืนโทษจำคุก
อาคารที่ทำการศาลยุติธรรมเป็นสถานที่อำนวยความยุติธรรม ให้แก่ประชาชนผู้มีอรรถคดี บุคคลผู้มีอรรถคดีต้องมีความมั่นใจ และมีความอบอุ่นในความปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง การที่ ผู้ถูกกล่าวหาพกพาอาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงดังกล่าวเข้าไปใน บริเวณที่ทำการศาล แสดงถึงความไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษ จำคุกผู้ถูกกล่าวหา 2 เดือนและไม่รอการลงโทษเหมาะสมแก่ พฤติการณ์แห่งรูปคดีและเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุ ที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5077/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ที่ขัดกับการรับสารภาพเดิม การลงโทษเหมาะสมกับพฤติการณ์
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้กระทำการปลอมปนน้ำมัน จำเลยเพียงแต่รับน้ำมันมาขายเท่านั้นเป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้วทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การที่จำเลยเป็นผู้ค้าน้ำมันกระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนทั่วไปอย่างมากมาย ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษให้นั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
การที่จำเลยเป็นผู้ค้าน้ำมันกระทำการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนทั่วไปอย่างมากมาย ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษให้นั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4933/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อข้อโต้แย้งใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในศาลล่าง และการใช้ดุลพินิจลงโทษที่เหมาะสม
จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์นำสืบพยานหลักฐานได้สมฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ชัดแจ้งพอที่จะรับฟังว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ การที่จำเลยเพิ่งหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4933/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกเหตุต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา - พยานหลักฐานไม่ชัดเจน
จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์นำสืบพยานหลักฐานได้สมฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ชัดแจ้งพอที่จะรับฟังว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ การที่จำเลยเพิ่งหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบจากเอกสารปลอมและการดำเนินคดีต่อไปได้
เมื่อคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6319/2541 ว่า ส. ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องขอศาลชั้นต้นจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหายซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ของโจทก์พอแปลเจตนารมณ์ของโจทก์ได้ว่า ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไปการยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังพบเอกสารปลอม การยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ไม่ใช่การฟ้องคดีใหม่
คำร้องขอถอนฟ้องโจทก์มีจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องของศาลชั้นต้นจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังพบเอกสารปลอม ทำให้คดีสามารถยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้
คำร้องขอถอนฟ้องโจทก์มีจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องของศาลชั้นต้น จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามป.วิ.พ.มาตรา 27 ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำป.วิ.อ.มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำป.วิ.อ.มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36: ระยะเวลาคำขอและการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
กำหนดเวลา "หนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด" ในการยื่นคำร้องขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 หมายถึงกำหนดระยะเวลา 1 ปีนับแต่คดีเรื่องนั้นถึงที่สุด โดยเริ่มนับเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกา มิใช่นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งริบของกลาง แล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ และแม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในเรื่องริบของกลางแต่จำเลยยังอุทธรณ์เรื่องขอให้รอการลงโทษจำคุกอยู่ คดียังไม่ถึงที่สุด
เหตุเกิดในระหว่างสัญญาเช่าซื้อยังมีผลบังคับ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์อยู่ จึงเป็นผู้มีอำนาจร้องขอคืนของกลางได้การที่ผู้ร้องยังมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนไปจากผู้ร้องและจะถือว่าผู้ร้องทำไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ซึ่งตามทางนำสืบก็มิได้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว
เหตุเกิดในระหว่างสัญญาเช่าซื้อยังมีผลบังคับ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์อยู่ จึงเป็นผู้มีอำนาจร้องขอคืนของกลางได้การที่ผู้ร้องยังมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนไปจากผู้ร้องและจะถือว่าผู้ร้องทำไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ซึ่งตามทางนำสืบก็มิได้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลาขอคืนของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36 เริ่มนับเมื่อคดีถึงที่สุดหลังสิ้นสุดระยะอุทธรณ์ฎีกา
ป.อ. มาตรา 36 บัญญัติให้เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงเสนอคำขอคืนของกลางต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วัน คำพิพากษาถึงที่สุด คำว่า "หนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด" หมายถึงกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่คดีเรื่องนั้นถึงที่สุด โดยเริ่มนับเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 มิใช่นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งริบของกลางแล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีนี้แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในเรื่องริบของกลางแต่จำเลยยังอุทธรณ์เรื่องขอให้รอการลงโทษจำคุกอยู่ คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด