พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,044 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพแล้วยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อจำเลยให้การับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าขณะที่จำเลยออกเช็คนั้นยังไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้วทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกด้วยฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9238/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การนำบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาใช้โดยอนุโลม
ป.วิ.อ. มิได้บัญญัติถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในเรื่องการยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคสี่ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ มาตรา 248วรรคสี่ แห่ง ป.วิ.พ.ได้วางหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้ว่า การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้นั้น ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้น คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 แต่การที่จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องในวันเดียวกันนั้นซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดอายุฎีกา ขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิจารณาอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยที่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นฎีกาฉบับใหม่เข้ามาด้วยเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ประสงค์จะขอถือเอาฎีกาฉบับเดิมที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับไปแล้วนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงประกอบคำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไป กรณีย่อมอนุโลมได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับคำฟ้องฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว จึงชอบที่ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะได้พิจารณาคำร้องและคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 1ว่ามีเหตุสมควรจะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9238/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การยื่นคำร้องพร้อมฎีกาเดิม & การใช้บทบัญญัติมาตรา 248 วรรคสี่ ป.วิ.พ. โดยอนุโลม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิให้บัญญัติถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในเรื่องการยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสี่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15มาใช้บังคับโดยอนุโลมทั้งนี้มาตรา248วรรคสี่แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้วางหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้ว่าการขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุผลสมควรที่จะฎีกาได้นั้นให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นคดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่1แต่การที่จำเลยที่1ได้ยื่นคำร้องในวันเดียวกันนั้นซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดอายุฎีกาขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิจารณาอนุญาตให้จำเลยที่1ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยที่จำเลยที่1มิได้ยื่นฎีกาฉบับใหม่เข้ามาด้วยเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่1ประสงค์จะขอถือเอาฎีกาฉบับเดิมที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับไปแล้วนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงประกอบคำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยที่1ต่อไปกรณีย่อมอนุโลมได้ว่าจำเลยที่1ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับคำฟ้องฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วจึงชอบที่ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะได้พิจารณาคำร้องและคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่1ว่ามีเหตุสมควรจะอนุญาตให้จำเลยที่1ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7293/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ชอบแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา358ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถแทรกเตอร์ดันเสาปูนซีเมนต์ล้มจำนวน5ต้นแต่จำเลยกระทำตามคำสั่งของน. โดยเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิทำได้การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาการที่จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความขัดแย้งกันมีพิรุธและขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถแทรกเตอร์ดันเสาปูนซีเมนต์ของโจทก์ร่วมล้มจำนวน5ต้นตามฟ้องกับอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนก่อนได้รับคำร้องทุกข์การสอบสวนจึงไม่ชอบต้องห้ามมิให้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา120เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามที่จำเลยอุทธรณ์ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจะฟังได้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องอยู่เช่นเดิมซึ่งไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยกรณีจึงมิใช่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลเท่ากับพิพากษาว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่อุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193วรรคสองดังที่จำเลยฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7293/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ไม่เป็นสาระ – การยกฟ้องเดิมยืนยัน – การสอบสวนไม่ชอบ – ไม่กระทบผลคำพิพากษา
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ใช้รถแทรกเตอร์ดันเสาปูนซีเมนต์ล้มจำนวน 5 ต้น แต่จำเลยกระทำตามคำสั่งของ น.โดยเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิทำได้ การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนา การที่จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความขัดแย้งกัน มีพิรุธและขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถแทรกเตอร์ดันเสาปูนซีเมนต์ของโจทก์ร่วมล้มจำนวน 5 ต้นตามฟ้อง กับอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนก่อนได้รับคำร้องทุกข์ การสอบสวนจึงไม่ชอบ ต้องห้ามมิให้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 120 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามที่จำเลยอุทธรณ์ ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจะฟังได้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายกฟ้องอยู่เช่นเดิม ซึ่งไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย กรณีจึงมิใช่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีผลเท่ากับพิพากษาว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 193 วรรคสอง ดังที่จำเลยฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4721/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยพินัยกรรมปลอมมีผลต่อคดีแพ่ง จำเป็นต้องวินิจฉัยแม้ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะขาดเจตนา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพินัยกรรมพิพาทเป็นพินัยกรรมปลอมแต่พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยที่2ใช้พินัยกรรมดังกล่าวแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการจดทะเบียนโอนที่ดินแทนจำเลยที่1นั้นจำเลยที่2รู้ว่าเป็นพินัยกรรมปลอมจึงพิพากษายกฟ้องจำเลยที่2อุทธรณ์เฉพาะในข้อเท็จจริงว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่2ไม่มีเจตนากระทำความผิดในการใช้พินัยกรรมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา137และ268เพราะไม่รู้ว่าเป็นพินัยกรรมปลอมนั้นโจทก์และจำเลยที่2ไม่อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดแต่ปัญหาข้อเท็จจริงว่าพินัยกรรมดังกล่าวปลอมหรือไม่นี้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอมย่อมถึงที่สุดและหากมีการดำเนินคดีแพ่งระหว่างคู่ความในคดีนี้ในประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าพินัยกรรมดังกล่าวปลอมหรือไม่อีกในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลอาจจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนี้ซึ่งมีผลต่อส่วนได้เสียของจำเลยที่2คดีนี้จึงถือว่าปัญหานี้เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177
คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามเฉพาะข้อกฎหมาย เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ในคดีมีข้อพิพาท ความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี หรือในคดีไม่มีข้อพิพาท ความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอ ซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่าที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี การที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินทั้งสามคนต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ซึ่งบุคคลทั้งสามถึงแก่ความตายไปประมาณ 10 ปีแล้ว ก่อนถึงแก่ความตาย บุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ดังนี้ หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาล ย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 วรรคหนึ่ง
ในคดีมีข้อพิพาท ความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี หรือในคดีไม่มีข้อพิพาท ความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอ ซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่าที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี การที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินทั้งสามคนต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ซึ่งบุคคลทั้งสามถึงแก่ความตายไปประมาณ 10 ปีแล้ว ก่อนถึงแก่ความตาย บุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ดังนี้ หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาล ย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินเพื่อครอบครองปรปักษ์เป็นข้อสำคัญในคดีอาญา
คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามเฉพาะข้อกฎหมายเมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ในคดีมีข้อพิพาทความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีหรือในคดีไม่มีข้อพิพาทความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่าที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีการที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินทั้งสามคนต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งบุคคลทั้งสามถึงแก่ความตายไปประมาณ10ปีแล้วก่อนถึงแก่ความตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา10ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านดังนี้หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาลย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4347/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วอ้างข้อเท็จจริงใหม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่2ให้การรับสารภาพตามฟ้องและชั้นอุทธรณ์ก็อุทธรณ์เพียงขอให้รอการลงโทษการที่จำเลยที่2ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่2ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297แต่เป็นเพียงความผิดตามมาตรา295เท่านั้นจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4002/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาอุทธรณ์: พฤติการณ์พิเศษและเหตุผลที่รับฟังได้
การขอขยายหรือย่นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่9กันยายน2537วันที่ครบกำหนด1เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์ฟ้องคือวันที่9ตุลาคม2537เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดทำการดังนั้นวันสุดท้ายที่โจทก์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คือวันที่10ตุลาคม2537โจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะเสนอความเห็นให้อัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ได้ทันกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแต่โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์เพียง3วันอ้างว่าต้องเสนออัยการสูงสุดรับรองอุทธรณ์ทั้งที่ปรากฏว่าเป็นคดีที่ไม่มีข้อเท็จจริงยุ่งยากซับซ้อนจำเลยก็ให้การรับสารภาพข้ออ้างของโจทก์ถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้