คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 381 วรรคหนึ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17245/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประเมินราคาทรัพย์สิน: ความรับผิดชอบของผู้ประเมินต่อความเสียหายจากราคาที่ไม่ถูกต้อง
สัญญารับจ้างสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 มีข้อตกลงในข้อ 6 ว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดในการสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินหรือรายงานผลการก่อสร้างอาคาร ไม่ว่าจะเกิดโดยความประมาทเลินเล่อ จงใจ หรือทุจริต ซึ่งมีผลให้มูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินราคาสูงขึ้น หรือต่ำกว่าตามปกติที่เป็นจริง หรือผิดไปจากวิชาชีพการประเมินราคา โดยจำเลยที่ 1 ผู้จัดการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 ความรับผิดดังกล่าวนั้นจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์เป็นผู้กำหนดขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพนักงานของจำเลยที่ 1 ประเมินราคาหลักประกันลูกค้าของโจทก์ทั้งสามรายไม่ถูกต้อง โดยประเมินราคาหลักประกันลูกค้ารายที่ 1 และที่ 2 สูงกว่าความเป็นจริง และรายที่ 3 ไม่ได้รายงานผลการปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำถนนสาธารณะซึ่งต้องไม่ประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ทำให้ราคาประเมินสูงกว่าความเป็นจริงอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ถือเป็นการผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า สตอ. ส. จสต. อ. และ ว. ลูกค้าของโจทก์ผิดนัดชำระหนี้ และโจทก์ได้ฟ้องบังคับคดีขายทอดตลาดหลักประกันแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ โดยคณะทำงานดำเนินการเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ได้กำหนดวิธีชดใช้ค่าเสียหาย เงื่อนไขหลุดพ้นความรับผิดชอบ และการฟ้องบังคับคดีลูกหนี้ตามเอกสารหมาย จ.16 ข้อ 3.3.1 และข้อ 3.3.2 ว่า กรณีลูกหนี้ผ่อนชำระปกติให้บริษัทประเมินรับสภาพหนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องชำระค่าเสียหาย ถ้าลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ลดลงจนหลักประกันคุ้มยอดหนี้ ให้ถือว่าบริษัทประเมินหลุดพ้นจากการรับสภาพหนี้ และกรณีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ให้ฟ้องบังคับคดีและเอาหนี้ส่วนที่ขาดจากบริษัทประเมินตามที่ได้รับสภาพหนี้ไว้ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยประเมินราคาหลักประกันสูงกว่าความเป็นจริงและไม่รายงานสภาพที่แท้จริงของหลักประกัน ย่อมทำให้โจทก์ใช้ราคาประเมินดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณวงเงินกู้และอนุมัติเงินกู้ให้แก่ลูกค้าสูงกว่ามูลค่า ที่แท้จริงของหลักประกัน ทำให้เกิดความเสี่ยงในการได้รับชำระหนี้คืนในส่วนยอดหนี้ที่เกินกว่าราคาหลักประกันมีผลถึงการประกอบกิจการโดยรวมของโจทก์ กรณีย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้แล้ว หาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น แต่ที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 890,000 บาทนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์กำหนดตามข้อสัญญาที่ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์เป็นผู้กำหนดขึ้น และโจทก์กำหนดตามราคาประเมินหลักประกันของลูกค้าทั้งสามรายที่สูงกว่าความเป็นจริง กรณีจึงเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร ซึ่งศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9528/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้ค่าส่วนกลาง - ผู้ซื้อทรัพย์จากขายทอดตลาดมีหน้าที่ชำระหนี้ค้างชำระของผู้ขายได้ - ศาลฎีกาแก้ไขค่าปรับและเงินเพิ่ม
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์ขอฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อกฎหมายที่โจทก์จะยกอายุความสิทธิเรียกร้องมาบังคับให้จำเลยที่ 1 รับชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเฉพาะส่วนที่ไม่ขาดอายุความ โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด แม้นิติบุคคลอาคารชุดจะมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดชำระหนี้อันเกิดจากหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางได้ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 29 แต่เมื่อหนี้ดังกล่าวมีอายุความ 5 ปี โจทก์จึงมีสิทธิขอชำระเพียงหนี้ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี ถือเป็นการกล่าวชัดแจ้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย
ค่าใช้จ่ายส่วนกลางซึ่งเจ้าของร่วมมีหน้าที่ต้องชำระให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด แม้ พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 บัญญัติขึ้นภายหลัง ป.พ.พ. และมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมของเจ้าของร่วมก็ตาม แต่เมื่อ พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มิได้บัญญัติอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องสำหรับเงินดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. เมื่อตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 กำหนดให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นรายเดือน แต่ไม่ชำระจึงถือเป็นเงินค้างจ่าย ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (4) ได้บัญญัติไว้แล้ว ค่าปรับและเงินเพิ่มอันเกิดจากการไม่ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นหนี้อุปกรณ์ของค่าใช้จ่ายส่วนกลางจึงมีอายุความ 5 ปี เช่นเดียวกับหนี้ประธาน มิใช่เป็นกรณีที่ ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติอายุความไว้อันจะต้องนำอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มาใช้บังคับแต่อย่างใด
ในการใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ ป.พ.พ. มาตรา 193/9 บัญญัติว่า ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ อันเป็นบทบังคับเจ้าหนี้ที่ต้องใช้สิทธิเรียกร้องเสียภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพราะไม่เช่นนั้นลูกหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/10 และที่ ป.พ.พ. มาตรา 193/29 บัญญัติว่า เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ มิได้มีความหมายเพียงว่าเจ้าหนี้ต้องใช้สิทธิเรียกร้องเสียก่อน ลูกหนี้จึงมีสิทธิที่จะปฏิเสธโดยยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้เท่านั้น หากแต่การที่ลูกหนี้ฟ้องคดีเพื่อขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยจะขอชำระหนี้ตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของเจ้าหนี้เท่าที่มีอยู่ภายใต้กำหนดระยะเวลาแห่งอายุความ ย่อมเท่ากับเป็นการปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้โดยยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้ว เพราะมีผลทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับชำระหนี้ส่วนที่ล่วงพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเช่นเดียวกับการต่อสู้คดีในกรณีที่ลูกหนี้ถูกฟ้อง ศาลจึงยกอายุความขึ้นมาวินิจฉัยได้โดยชอบ
โจทก์เป็นเพียงผู้ซื้อทรัพย์มิใช่ลูกหนี้ผู้ซึ่งค้างชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง แต่การที่โจทก์มีภาระหน้าที่ที่ต้องชำระหนี้สินค้างชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ก่อนจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดได้ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18, 29 และ 41 ที่กำหนดเป็นเงื่อนไขของการขายทอดตลาดตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีและตามที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้ ย่อมมีผลเท่ากับโจทก์ได้ทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกแทนลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 นั่นเอง ชอบที่โจทก์จะยกอายุความขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 1 ผู้ได้รับประโยชน์จากสัญญานั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 376 เมื่อหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ค่าปรับและเงินเพิ่มเป็นเงินค้างจ่าย มีอายุความ 5 ปี และโจทก์ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้ว โจทก์จึงคงรับผิดรับชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ค่าปรับและเงินเพิ่มค้างชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี สำหรับค่าปรับและเงินเพิ่มซึ่งโจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาในลักษณะอย่างไร แต่เมื่อโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาให้โจทก์รับผิดต่อจำเลยที่ 1 ได้ ไม่เป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง และตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ที่กำหนดค่าปรับไว้อัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ ก็ถือเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ป.พ.พ. มาตรา 381 วรรคหนึ่ง ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลย่อมลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาผิดนัดชำระหนี้จากสัญญาประกันตัว: เริ่มเมื่อมีหนังสือบอกกล่าว
จำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาไปจากโจทก์ เมื่อถึงกำหนดนัดส่งตัวผู้ต้องหาในวันที่ 18 มกราคม 2544 จำเลยไม่นำตัวผู้ต้องหามาส่งโจทก์ ย่อมทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาประกันตัว โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่ตีราคาประกันไว้ในสัญญาประกันซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แต่การชำระหนี้ดังกล่าวมิได้มีกำหนดเวลาอันพึงจะชำระแก่กันไว้ โจทก์ชอบที่จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้ก่อน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดนับแต่เมื่อนั้น กรณีมิใช่เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระในวันเดียวกับวันที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วแต่ไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไป
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2547)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าปรับสัญญา ก่อสร้างสูงเกินส่วน ศาลลดค่าปรับได้ และโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับคืน
แม้มีเหตุจะเป็นอุปสรรคในการทำการก่อสร้างของโจทก์อยู่บ้าง แต่โจทก์ยังสามารถทำการก่อสร้างในส่วนอื่นได้ และต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันโดยจำเลยผ่อนผันยืดเวลาทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จออกไปอีก และกำหนดไว้ในข้อ 3 ว่าความรับผิดชอบส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จเดิมเป็นต้นไป โจทก์ยอมให้จำเลยปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น จำเลยจึงมีสิทธิปรับโจทก์ได้ตามสัญญา
โจทก์ผิดสัญญาก่อสร้างอาคารโดยส่งมอบให้จำเลยล่าช้ากว่ากำหนดจำเลยจึงปรับโจทก์ตามสัญญา โดยหักเงินค่าปรับไว้จากค่าจ้าง เมื่อศาลพิพากษาลดค่าปรับลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ให้จำเลยคืนค่าปรับบางส่วนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับที่ได้รับคืนนั้น เพราะการที่จำเลยหักค่าปรับไว้เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงเบี้ยปรับในสัญญาซื้อขายสิทธิการเช่า ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
จำเลยทำสัญญาจะขายสิทธิการเช่าตึกแถวแก่โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือสัญญาและจดทะเบียนขายตามกำหนดจำเลยยอมให้โจทก์ฟ้องศาลบังคับให้เป็นไปตามสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 650,000 บาทอีกส่วนหนึ่งด้วยนั้น เป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยสมัครใจตกลงกันไว้ แม้การผิดสัญญาของจำเลยนอกจากจำเลยจะถูกฟ้องศาลบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยยังจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีก 650,000 บาทก็ตาม การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาก็คือการเรียกใช้ชำระหนี้ตามสัญญา และค่าเสียหายที่กำหนดจำนวนไว้ล่วงหน้าก็คือเบี้ยปรับนั่นเอง โจทก์จำเลยจึงอาจตกลงกันได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคหนึ่ง ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม อันดีของประชาชน