พบผลลัพธ์ทั้งหมด 83 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6108/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีปล้นทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ศาลอุทธรณ์ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่เปิดแล้วภายในบ้านผู้เสียหาย แต่ช่วงระยะเวลาที่ผู้เสียหายอ้างว่ามองเห็นและจำใบหน้าของคนร้ายได้เกิดขึ้นตอนที่คนร้ายเข้ามากระชากผมของผู้เสียหาย แล้วลากเข้าไปในห้องครัวเป็นระยะทางประมาณ 3 เมตร โอกาสที่ผู้เสียหายมองเห็นใบหน้าคนร้ายได้ไม่ควรเกิน 1 นาที ผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ที่กกหูข้างซ้ายด้วย ย่อมทำให้ผู้เสียหายตกอยู่ในอาการหวาดกลัว และต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองมากกว่าที่จะสนใจจดจำใบหน้าคนร้าย ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับคนร้ายมาก่อน ยิ่งทำให้ไม่มีเหตุผล ที่จะเชื่อได้ว่าผู้เสียหายมองเห็นและจำหน้าคนร้ายได้อย่างแม่นยำ เมื่อผู้เสียหายพบจำเลยที่สถานีตำรวจ ผู้เสียหายไม่ได้ยืนยันทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้าย แต่กลับครุ่นคิดอยู่ประมาณ 4 ถึง 5 นาที พยานโจทก์ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับผู้เสียหายก็ยอมรับว่าจำคนร้ายไม่ได้เมื่อไม่ปรากฏว่าของกลางของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปถูกยึดได้จากจำเลย เพียงแต่จำเลยมีลักษณะใบหน้าและแผลเป็นที่หลังเท้าด้านซ้ายคล้ายกับคนร้ายที่ผู้เสียหายมองเห็นจึงยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอ ตามพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาวุธปืน และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเพื่อความสงบเรียบร้อย
ความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้พาอาวุธปืนเข้าไปในห้องอาหารที่เกิดเหตุ เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายข้างต้น
ความผิดฐานพาอาวุธปืนนั้นแม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และแม้ว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ซึ่งศาลอาจสั่งริบอาวุธปืนของกลางได้ก็ตาม แต่ข้อหาความผิดตามมาตรา 371 นี้เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง เมื่อศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแล้ว ย่อมจะอาศัยบทที่มีโทษเบา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มาสั่งริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ความผิดฐานพาอาวุธปืนนั้นแม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และแม้ว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ซึ่งศาลอาจสั่งริบอาวุธปืนของกลางได้ก็ตาม แต่ข้อหาความผิดตามมาตรา 371 นี้เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง เมื่อศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแล้ว ย่อมจะอาศัยบทที่มีโทษเบา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มาสั่งริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6478/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลอาญา: ไม่ผูกพันตามคำพิพากษาคดีอื่น, ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่เพราะในคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6459/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ - พยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในครั้งแรกนั้นเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายหากจำเลยได้กระชากสร้อยคอที่สวมอยู่ที่คอของโจทก์ที่ 2 ไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ด้วย และสร้อยคอที่อ้างว่า จำเลยกระชากไปนั้นหนัก 2 บาท หากจำเลยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอโจทก์ที่ 2 ขาดติดมือไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บที่คอด้วย แต่ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่คอโจทก์ที่ 2 ตามเหตุผลและพฤติการณ์ดังกล่าวมาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีพิรุธสงสัยอันสมควรว่า จำเลยที่ 2 ได้กระชากสร้อยคอโจทก์ที่ 2 ไปหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4168/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำซัดทอดผู้ร่วมกระทำผิด ต้องมีพยานหลักฐานประกอบ จึงจะรับฟังได้
คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของ ภ. ว่าตนได้นำสร้อยข้อมือของผู้เสียหายที่ลักมาไปขายให้แก่จำเลยโดยบอกด้วยว่าเป็นทรัพย์ที่ลักมาถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของ ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แม้มิใช่เป็นคำชัดทอดที่เป็นการปัด ความผิดของผู้ชัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยผู้เดียวก็ตาม แต่ก็มีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังลำพังคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของ ภ. ดังกล่าวโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4168/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด – พยานหลักฐานสนับสนุน – การรับฟังพยาน
คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของ ภ.ว่าตนได้นำสร้อยข้อมือของผู้เสียหายที่ลักมาไปขายให้แก่จำเลยโดยบอกด้วยว่าเป็นทรัพย์ที่ลักมาถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แม้มิใช่เป็นคำซัดทอดที่เป็นการปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยผู้เดียวก็ตาม แต่ก็มีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ลำพังคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของ ภ.ดังกล่าวโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานและการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีอาญา
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์ผู้เสียหาย-จำเลย และระยะเวลาแจ้งความ เป็นเหตุให้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง 17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3333/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีอาญาในศาลแขวง: การโต้แย้งข้อเท็จจริงและการรับอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยตบหน้าผู้เสียหายที่บริเวณแก้มซ้าย 1 ครั้ง พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องลงโทษปรับ 1,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยข้อเท็จจริงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 3รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบและแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะพิพากษากลับโจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา และศาลฎีกายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3และยกฎีกาของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3047/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดฐานพยายามฆ่าและมีวัตถุระเบิด ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยทำท่าฮึดฮัดจะชักอาวุธปืนยิงผู้เสียหายซึ่งแสดงว่าผู้เสียหายกับจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงมีเหตุทำให้ระแวงสงสัยส่วนที่โจทก์อ้างส่งคำให้การชั้นสอบสวนของ ย. ที่ระบุว่าในวันเกิดเหตุ ย. ได้ยินจำเลยพูดกับเพื่อนของจำเลยว่า อย่างผู้เสียหายไม่ต้องยิงให้เสียเวลาหรอกแค่ขว้างก็ช็อกตายแล้วนั้นคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง