พบผลลัพธ์ทั้งหมด 162 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บัญชีเดินสะพัดที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ สิ้นสุดเมื่อบอกเลิกหรือหักทอนบัญชี อายุความเริ่มนับจากวันที่พ้นกำหนดชำระ
บัญชีเดินสะพัดที่ ส. ทำกับโจทก์เป็นบัญชีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืน ดังนั้นแม้บัญชีจะหยุดเดินสะพัดโดยที่ ส. มิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากโจทก์อีกเลยจนถึงวันฟ้องคดีนับเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และ ส. ยังไม่ได้ตกลงเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้ที่มีอยู่ต่อกันสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับ ส. ก็ยังคงมีอยู่ตลอดไป หาได้ยกเลิกหรือสิ้นสุดลงไม่ สัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืนจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาต่อกันหรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้หักทอนบัญชีและให้ชำระหนี้ที่มีต่อกันเสียแล้วเท่านั้น โจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไว้ส่งไปถึง ส. วันที่ 30 เมษายน 2534 และเรียกร้องให้ชำระหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือทวงถาม ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกและหักทอนบัญชีในวันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้คือวันที่ 16 พฤษภาคม 2534โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 4 ธันวาคม 2535 ยังไม่เกิน 10 ปีจึงยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความบัญชีเดินสะพัด: เริ่มนับเมื่อบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องหนี้คืน ไม่ใช่เมื่อบัญชีหยุดเดิน
สัญญา บัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืนจะสิ้นสุดลงต่อเมื่อ คู่สัญญาตกลง เลิกสัญญาต่อกันหรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้ หักทอนบัญชีและให้ชำระหนี้ที่มีต่อกันแล้ว โจทก์ บอกเลิกสัญญา บัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไว้ส่งไปถึง ส. วันที่30เมษายน2534และเรียกร้องให้ชำระหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน15วันนับจากวันที่ได้รับ หนังสือทวงถาม ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกและหักทอนบัญชีในวันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา อายุความแห่ง สิทธิเรียกร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้คือวันที่16พฤษภาคม2534โจทก์ ฟ้องคดีวันที่4ธันวาคม2535ยังไม่เกิน10ปีจึง ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเดินสะพัดไม่กำหนดระยะเวลา: เลิกสัญญา-หักบัญชี = เริ่มนับอายุความ
บัญชีเดินสะพัดที่ ส.ทำกับโจทก์เป็นบัญชีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืน ดังนั้นแม้บัญชีจะหยุดเดินสะพัดโดยที่ ส. มิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากโจทก์อีกเลยจนถึงวันฟ้องคดีนับเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์และ ส. ยังไม่ได้ตกลงเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้ที่มีอยู่ต่อกัน สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับ ส. ก็ยังคงมีอยู่ตลอดไป หาได้ยกเลิกหรือสิ้นสุดลงไม่ สัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืนจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาต่อกันหรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้หักทอนบัญชีและให้ชำระหนี้ที่มีต่อกันเสียแล้วเท่านั้น
โจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไว้ส่งไปถึง ส. วันที่ 30 เมษายน 2534 และเรียกร้องให้ชำระหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือทวงถาม ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกและหักทอนบัญชีในวันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้คือวันที่ 16 พฤษภาคม 2534 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 4 ธันวาคม 2535 ยังไม่เกิน 10 ปีจึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไว้ส่งไปถึง ส. วันที่ 30 เมษายน 2534 และเรียกร้องให้ชำระหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือทวงถาม ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกและหักทอนบัญชีในวันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้คือวันที่ 16 พฤษภาคม 2534 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 4 ธันวาคม 2535 ยังไม่เกิน 10 ปีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้บัญชีเดินสะพัด: สิทธิเรียกร้องเกิดเมื่อหักทอนบัญชี/เลิกสัญญา, ไม่ขาดอายุความหากยื่นบังคับทรัพย์ภายใน 10 ปี
การชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกระทำได้เมื่อหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้ที่คงเหลือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่1ไม่มีกำหนดระยะเวลาให้ชำระหนี้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ของผู้ร้องเกิดขึ้นเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้คงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา856,859แม้จำเลยที่1มิได้เดินสะพัดทางบัญชีอีกนับแต่ครั้งสุดท้ายเป็นเวลากว่า10ปีแต่เมื่อไม่มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาสัญญาก็ยังไม่สิ้นสุดลงผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาได้จนถึงวันที่จำเลยที่1ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอันถือว่าสัญญาเลิกกันโดยปริยายนับแต่วันนั้นและสิทธิเรียกร้องของผู้ร้องเกิดขึ้นนับแต่นั้นเมื่อยื่นคำร้องขอให้บังคับทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันหนี้ตามสัญญาดังกล่าวยังไม่พ้น10ปีหนี้จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้จากการเบิกเงินเกินบัญชีและการเลิกสัญญาสัญญาบัญชีเดินสะพัด
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ไม่มีกำหนดระยะเวลาให้ชำระหนี้เสร็จสิ้นเมื่อใด สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ของผู้ร้องจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้คงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 856, 859 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้ายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2524 และหลังจากนั้นไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีก แต่เมื่อไม่มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาต่อกัน สัญญาบัญชีเดินสะพัดก็ยังไม่สิ้นสุด เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2532 สัญญาบัญชีเดินสะพัดต้องเลิกกันไปโดยปริยาย สิทธิเรียกร้องของผู้ร้องตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์2535 ขอให้บังคับทรัพย์จำนองจึงยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นหนี้ประธานไม่ขาดอายุความ ผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2532 ซึ่งเป็นวันที่ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิ้นสุดสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี – ดอกเบี้ยทบต้น – เจตนาเจ้าหนี้ – การเดินสะพัดทางบัญชี
ตามรายการในบัญชีเดินสะพัด ในวันครบกำหนดสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีวันที่ 19 สิงหาคม 2528 ลูกหนี้เป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน2,812,773.64 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินวงเงินที่ได้ตกลงไว้กับเจ้าหนี้ และนับแต่นั้นมา ลูกหนี้ก็ไม่ได้นำเงินเข้าบัญชีและเจ้าหนี้ก็ไม่ยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินจากบัญชีได้อีก โดยมีแต่รายการนำเช็คของลูกหนี้ซึ่งสั่งจ่ายเบิกเงินจากบัญชีมาเรียกเก็บเงิน แต่เจ้าหนี้ก็ไม่ยอมจ่ายเงินตามเช็คแต่ละรายการนั้นเลย ซึ่งนับเป็นร้อย ๆ รายการ อันเป็นข้อแสดงว่าเจ้าหนี้ไม่ประสงค์จะให้มีบัญชีเดินสะพัดอีกต่อไปนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้น ส่วนที่เจ้าหนี้ยินยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าฝากตามที่ฎีกามานั้นนับตั้งแต่สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนด เจ้าหนี้ก็ไม่ยินยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินตามเช็คตลอดมา ที่เจ้าหนี้ยินยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินในเดือนตุลาคม 2528 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน4,664 บาท ในเดือนเมษายนและเดือนพฤศจิกายน 2529 รวม 2 ครั้งเป็นเงิน 30,000 บาท และ 3,162 บาท ตามลำดับแต่ละรายการจำนวนเงินเล็กน้อย และได้ทิ้งช่วงระยะเวลาห่างกันจนผิดปกติเป็นพิรุธ และรายการถอนเงินในวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 จำนวน 20,000 บาท ก็ปรากฏมีรายการแก้ไขในช่องรายการฝากเงินในวันเดียวกันและจำนวนเงินเดียวกัน ซึ่งเป็นการลงบัญชีผิดพลาดไม่ใช่การถอนเงินออกจากบัญชีแต่อย่างใด และที่เจ้าหนี้จ่ายเบี้ยประกันภัยของลูกหนี้เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2530 จำนวน 1,375 บาทหรือรายการฝากเช็คธนาคาร 2 ฉบับ ฉบับละ 500,000 บาท ในวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2531 แต่ในวันรุ่งขึ้นกลับปรากฏในช่องรายการถอนโดยใช้อักษร-ภาษาอังกฤษ "LOAN" จำนวน 1,000,000 บาท โดยไม่เกี่ยวข้องกับหนี้ตามรายการเดินสะพัดอย่างไร หรือไม่ ส่อแสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นการปรับปรุงรายการบัญชีเดินสะพัดเพื่อจะแสดงให้เห็นว่ายังมีการเดินสะพัดทางบัญชีอยู่เพื่อจะอ้างเป็นเหตุให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เท่านั้น นับว่าเป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์จากลูกหนี้โดยไม่ชอบ ตามพฤติการณ์ยิ่งแสดงให้เห็นเจตนาของเจ้าหนี้ได้อย่างชัดแจ้งว่าหลังจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดแล้ว เจ้าหนี้ไม่ประสงค์จะให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีแก่ลูกหนี้อีกต่อไป ถือได้ว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ สิ้นสุดลงนับแต่วันครบกำหนดสัญญา คือวันที่ 19 สิงหาคม 2528 หลังจากนั้นเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อครบกำหนด เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีก
ตามรายการในบัญชีเดินสะพัดในวันครบกำหนดสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีวันที่19สิงหาคม2528ลูกหนี้เป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน2,812,773.64บาทซึ่งเป็นจำนวนที่เกินวงเงินที่ได้ตกลงไว้กับเจ้าหนี้และนับแต่นั้นมาลูกหนี้ก็ไม่ได้นำเงินเข้าบัญชีและเจ้าหนี้ก็ไม่ยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินจากบัญชีได้อีกโดยมีแต่รายการนำเช็คของลูกหนี้ซึ่งสั่งจ่ายเบิกเงินจากบัญชีมาเรียกเก็บเงินแต่เจ้าหนี้ก็ไม่ยอมจ่ายเงินตามเช็คแต่ละรายการนั้นเลยซึ่งนับเป็นร้อยๆรายการอันเป็นข้อแสดงว่าเจ้าหนี้ไม่ประสงค์จะให้มีบัญชีเดินสะพัดอีกต่อไปนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นส่วนที่เจ้าหนี้ยินยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าฝากตามที่ฎีกามานั้นนับแต่สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดเจ้าหนี้ก็ไม่ยินยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินตามเช็คตลอดมาที่เจ้าหนี้ยินยอมให้ลูกหนี้เบิกเงินในเดือนตุลาคม2528จำนวน1ครั้งเป็นเงิน4,664บาทในเดือนเมษายนและเดือนพฤศจิกายน2529รวม2ครั้งเป็นเงิน30,000บาทและ3,162บาทตามลำดับแต่ละรายการจำนวนเงินเล็กน้อยและได้ทิ้งช่วงระยะเวลาห่างกันจนผิดปกติเป็นพิรุธและรายการถอนเงินในวันที่16กรกฎาคม2530จำนวน20,000บาทก็ปรากฏมีรายการแก้ไขในช่องรายการฝากเงินในวันเดียวกันและจำนวนเงินเดียวกันซึ่งเป็นการลงบัญชีผิดพลาดไม่ใช่การถอนเงินออกจากบัญชีแต่อย่างใดและที่เจ้าหนี้จ่ายเบี้ยประกันภัยของลูกหนี้เมื่อวันที่12มิถุนายน2530จำนวน1,375บาทหรือรายการฝากเช็คธนาคาร2ฉบับฉบับละ500,000บาทในวันที่23กุมภาพันธ์2531แต่ในวันรุ่งขึ้นกลับปรากฏในช่องรายการถอนโดยใช้อักษรภาษาอังกฤษ"LOAN" จำนวน1,000,000บาทโดยไม่เกี่ยวข้องกับหนี้ตามรายการเดินสะพัดอย่างไรหรือไม่ส่อแสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นการปรับปรุงรายการบัญชีเดินสะพัดเพื่อจะแสดงให้เห็นว่ายังมีการเดินสะพัดทางบัญชีอยู่เพื่อจะอ้างเป็นเหตุให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เท่านั้นนับว่าเป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์จากลูกหนี้โดยไม่ชอบตามพฤติการณ์ยิ่งแสดงให้เห็นเจตนาของเจ้าหนี้ได้อย่างชัดแจ้งว่าหลังจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดแล้วเจ้าหนี้ไม่ประสงค์จะให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีแก่ลูกหนี้อีกต่อไปถือได้ว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้สิ้นสุดลงนับแต่วันครบกำหนดสัญญาคือวันที่19สิงหาคม2528หลังจากนั้นเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6194-6195/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อใด? การคิดดอกเบี้ยทบต้นหลังบอกเลิกสัญญา
การขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนสืบเสร็จแล้วต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นแสดงถึงหนี้ที่เกิดขึ้นมาภายหลังที่สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นเอกสารที่จำเลยไม่สามารถทราบก่อนสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นได้ว่าต้องนำสืบเพื่อประโยชน์ของตน แต่ข้อสำคัญแห่งประเด็นของคดีมีว่า เมื่อถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์เท่าใด ซึ่งโจทก์ได้นำสืบถึงจำนวนหนี้ที่มีถึงวันฟ้องเสร็จสิ้นไปแล้วการที่จำเลยจะนำสืบถึงเอกสารที่แสดงถึงจำนวนหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้วย่อมไม่ทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเลยจึงระบุพยานเพิ่มเติมไม่ได้ ครบกำหนดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้วบัญชีของจำเลยมีทั้งการถอนเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีต่อไปอีก โดยจำเลยถอนเงินจากบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2524 และนำเงินเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2526 แสดงว่าโจทก์กับจำเลยตกลงให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาแม้ตามรายการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2526 มีเฉพาะการนำเงินเข้าบัญชีเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการถอนเงินจากบัญชีก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาแก่อีกฝ่ายหนึ่งบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่เลิกกันในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2524 แต่จะเลิกกันในวันครบกำหนดที่โจทก์บอกเลิกสัญญาและทวงถามให้ชำระเสร็จสิ้น เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มีนาคม 2529 ต้องถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงินที่ค้างชำระได้จนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2529ต่อจากนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและดอกเบี้ยที่คิดได้หลังเลิกสัญญา
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้กำหนดเวลาสิ้นสุดไว้ จำเลยที่ 1 นำเงินเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2528 แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญา สัญญาดังกล่าวจึงยังคงมีอยู่ต่อมา เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ โจทก์จึงนำเงินตามใบรับเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 และตามสมุดเงินฝากประจำของ ต. ที่โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันมาหักชำระหนี้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2529 เป็นการบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ถือได้ว่า โจทก์ได้เลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้จนถึงวันที่14 มีนาคม 2529 อันเป็นวันเลิกสัญญาเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5887/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกเกินบัญชี: ข้อตกลงดอกเบี้ยสูงสุดตามสัญญา
ตามข้อตกลงการฝากเงินบัญชีกระแสรายวันของธนาคารโจทก์ข้อ 10 ระบุว่า ในกรณีธนาคารได้ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนด้วยเหตุใดก็ตาม ทั้งที่เงินฝากคงเหลือในบัญชีของข้าพเจ้ามีไม่พอจ่ายตามเช็คที่มาขอขึ้นเงิน ซึ่งตามปกติธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นเสียก็ได้นั้น ข้าพเจ้ายอมผูกพันตนที่จะจ่ายเงินส่วนที่เบิกเกินนั้นคืนให้ธนาคารโดยถือเสมือนหนึ่งว่า ข้าพเจ้าได้ร้องขอเบิกเงินเกินบัญชีต่อธนาคารและยินยอมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินส่วนที่เกินบัญชีให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่เบิกเกินจนถึงวันชำระหนี้เงินเบิกเกินคืน ฯลฯและข้อ 11 ระบุว่า ในกรณีที่ข้าพเจ้านำเช็คฝากเข้าบัญชีและในวันนำฝากนั้นธนาคารได้ผ่อนผันจ่ายเงินส่วนหนึ่งหรือเต็มมูลค่าเช็คที่นำฝากนั้นให้ไปก่อน โดยที่ธนาคารยังไม่ทราบผลการเรียกเก็บเงิน และเช็คดังกล่าวถูกคืนมาโดยมิใช่เนื่องจากความบกพร่องของธนาคารเอง ข้าพเจ้ายอมผูกพันตนที่จะจ่ายเงินส่วนที่เบิกเกินนั้นคืนให้ธนาคาร โดยถือเสมือนหนึ่งว่าได้ร้องขอเบิกเงินเกินบัญชีต่อธนาคาร และยินยอมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินส่วนที่เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่ธนาคารในอัตราสูงสุดเท่าที่กฎหมายจะอนุญาต นับแต่วันที่เบิกเกินจนถึงวันชำระหนี้เงินเบิกเกินคืน ฯลฯ ซึ่งข้อความในข้อ 11 นั้นหมายถึงจำเลยนำเช็คมาฝากเข้าบัญชีและโจทก์จ่ายเงินตามเช็คที่มาขอเบิกให้จำเลยไปก่อน แต่แล้วโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ ไม่ใช่กรณีโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินให้จำเลยไปโดยไม่มีการนำเช็คฝากเข้าบัญชี ซึ่งต้องบังคับกันตามข้อตกลงข้อ 10 เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยนำเช็คมาฝากเข้าบัญชีโดยโจทก์จ่ายเงินตามเช็คที่มาขอเบิกให้จำเลยไปก่อน แต่แล้วโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี