คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1401

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 380 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางภารจำยอมโดยอายุความต้องเป็นประโยชน์แก่ที่ดิน ไม่ใช่ตัวบ้าน เจ้าของบ้านไม่อาจอ้างสิทธิได้
การใช้ทางในที่ดินของบุคคลหนึ่งจะตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้นไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของบุคคลอื่นดังกล่าวโจทก์ที่2ผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ที่1ซึ่งเป็นเจ้าของทางภารจำยอมจึงไม่อาจอ้างการได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความได้เพราะเป็นการใช้ทางภารจำยอมโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ที่1และเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8399/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการใช้ทางร่วมและการได้มาซึ่งภารจำยอมโดยผลของสัญญาและอายุการครอบครอง
โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม จำเลย และผู้ร่วมซื้อที่ดินทุกคนตกลงกันว่ายอมให้จำเลยเลือกเอาที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยตลอดแนวเป็นเนื้อที่ 2,400 ส่วนโดยไม่ต้องจับสลาก และจำเลยยอมให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วมและผู้ร่วมซื้อคนอื่น ๆ ผ่านเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยไปสู่ถนนสามัคคีได้ เมื่อมีการทำแผนที่แบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยและถนนแล้วให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม และผู้ซื้อทุกคนตรวจดูเห็นว่าถูกต้องจึงได้จับสลากเป็นของแต่ละคน จำเลยได้จัดการถมดินในที่ดินแปลงย่อยทั้งสองของจำเลยและทำถนนต่อจากถนนที่ใช้ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ไปสู่ถนนสามัคคี ซึ่งเป็นถนนสาธารณะโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้ประโยชน์จากถนนดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตลอดมาตั้งแต่ปี 2520 โจทก์ที่ 3 ได้เข้าไปปลูกต้นไม้ และโจทก์ที่ 4 ได้เข้าไปปลูกบ้านและขุดบ่อเลี้ยงปลา ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ถนนดังกล่าวตามสิทธิตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้ภารจำยอมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8399/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภาระจำยอมเกิดขึ้นจากการใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี แม้มีการตกลงร่วมกันก่อนหน้า
โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม จำเลย และผู้ร่วมซื้อที่ดินทุกคนตกลงกันว่ายอมให้จำเลยเลือกเอาที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยตลอดแนวเป็นเนื้อที่ 2,400 ส่วน โดยไม่ต้องจับสลาก และจำเลยยอมให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม และผู้ร่วมซื้อคนอื่น ๆ ผ่านเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 941ของจำเลยไปสู่ถนนสามัคคีได้ เมื่อมีการทำแผนที่แบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยและถนนแล้วให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม และผู้ซื้อทุกคนตรวจดูเห็นว่าถูกต้องจึงได้จับสลากเป็นของแต่ละคน จำเลยได้จัดการถมดินในที่ดินแปลงย่อยทั้งสองของจำเลยและทำถนนต่อจากถนนที่ใช้ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941ไปสู่ถนนสามัคคี ซึ่งเป็นถนนสาธารณะ โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้ประโยชน์จากถนนดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตลอดมาตั้งแต่ปี 2520 โจทก์ที่ 3 ได้เข้าไปปลูกต้นไม้ และโจทก์ที่ 4 ได้เข้าไปปลูกบ้านและขุดบ่อเลี้ยงปลา ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ถนนดังกล่าวตามสิทธิตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้ภาระจำยอมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7637/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภาระจำยอมและการใช้ประโยชน์ที่ดินรถไฟ: ที่ดินรถไฟไม่อาจตกเป็นภาระจำยอม แม้มีการใช้ประโยชน์ต่อเนื่อง
ข้อตกลงที่หม่อมหลวง ด.ยอมให้บริษัทรถไฟสร้างถนนผ่านที่ดินของหม่อมหลวง ด.เป็นทางเข้าออกจากสถานีรถไฟคลองสานสู่ถนนสมเด็จเจ้าพระยาเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของบริษัทรถไฟโดยบริษัทรถไฟ มิได้ตกลงให้หม่อมหลวง ด.มีสิทธิใช้ที่ดินของบริษัทรถไฟ อันจะเป็นเหตุให้ถือได้ว่าหม่อมหลวง ด.มีสิทธิภาระจำยอมในที่ดินของบริษัทรถไฟ ดังนั้นไม่ว่าข้อตกลงนั้นจะยังคงมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองผู้รับโอนที่ดินของหม่อมหลวง ด. กับการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 2 ผู้รับโอนกิจการและทรัพย์สินของบริษัทรถไฟหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้ที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 เป็นภาระจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
การรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินจากโจทก์ทั้งสองและจากบุคคลอื่น โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้คำมั่นหรือรับรองว่าจะซื้อมาทำเป็นถนนหรือทางสาธารณะ แต่ทำถนนพิพาทขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 2ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ถนนสาธารณะ แต่ถือได้ว่าเป็นที่ดินรถไฟตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 3(2) และเป็นที่ดินที่ห้ามมิให้บุคคลใดยกกำหนดอายุความขึ้นต่อสู้เหนือที่ดินรถไฟดังกล่าว ตามมาตรา 6(1) ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ขัดหรือแย้งกับ พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 จึงยังมีผลใช้บังคับได้ตาม พ.ร.บ. การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 มาตรา 3และ 16 ดังนั้น ไม่ว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะใช้ถนนพิพาทมาแล้วนานเพียงใดถนนพิพาทซึ่งเป็นที่ดินรถไฟก็ไม่อาจตกเป็นภาระจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความและการใช้ทางร่วมกันของเจ้าของที่ดินหลายช่วง
แม้โจทก์ที่1และที่2ซึ่งได้รับโอนที่ดินจากม.ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า10ปีอันมีผลทำให้โจทก์ที่1และที่2ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินที่รับโอนมาจากม.ได้ภารจำยอมในการใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ที่1และที่2กับทางสาธารณะก็ตามแต่โจทก์ที่1และที่2นำที่ดินแปลงเดิมที่ได้รับโอนมาจากม. ไปแลกเอาที่ดินแปลงใหม่มาจากจำเลยเสียแล้วเมื่อพ.ศ.2528ซึ่งระยะเวลาที่โจทก์ที่1และที่2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา6ปีเศษและโจทก์ที่3เข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเมื่อพ.ศ.2534นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง1ปีเศษดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ที่1ถึงที่3ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับทางสาธารณะตลอดมาถึงวันฟ้องด้วยอำนาจปรปักษ์ก็มีระยะเวลายังไม่ถึง10ปีทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงใหม่ เจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่4ถึงที่7ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินมรดกกับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า10ปีแล้วครั้นโจทก์ที่4ถึงที่7ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกสืบต่อมาแม้จะใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ10ปีก็ตามแต่เมื่อนับระยะเวลาที่ก.เจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่4ถึงที่7ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ10ปีแล้วที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภารจำยอมในการที่โจทก์ที่4ถึงที่7จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่4ถึงที่7ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401ประกอบด้วยมาตรา1385

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมโดยอายุความ: การได้มาซึ่งสิทธิภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่อง ทั้งเจ้าของเดิมและผู้รับโอน
แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้รับโอนที่ดินจาก ม.ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปี อันมีผลทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินที่รับโอนมาจาก ม.ได้ภาระจำยอมในการใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับทางสาธารณะก็ตาม แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 นำที่ดินแปลงเดิมที่ได้รับโอนมาจาก ม.ไปแลกเอาที่ดินแปลงใหม่มาจากจำเลยเสียแล้วเมื่อ พ.ศ.2528 ซึ่งระยะเวลาที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปีเศษ และโจทก์ที่ 3เข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเมื่อ พ.ศ.2534 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง 1 ปีเศษ ดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับทางสาธารณะตลอดมาถึงวันฟ้องด้วยอำนาจปรปักษ์ ก็มีระยะเวลายังไม่ถึง 10 ปีทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงใหม่
เจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินมรดกกับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ครั้นโจทก์ที่ 4ถึงที่ 7 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกสืบต่อมา แม้จะใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ 10 ปีก็ตาม แต่เมื่อนับระยะเวลาที่ ก.เจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภาระจำยอมในการที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1385

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6954/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความต้องใช้สอยโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทางเข้าออกถือเป็นข้อตกลง ไม่เข้าข่ายอายุความ
การได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา1401ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วยซึ่งได้แก่มาตรา1382เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องได้ใช้สอยอสังหาริมทรัพย์อื่นโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภารจำยอมในอสังหาริมทรัพย์นั้นติดต่อกันเป็นเวลา10ปีจึงจะได้ภารจำยอมเหนืออสังหาริมทรัพย์นั้น การช่วยออกเงินค่าทำท่อน้ำและดินลูกรังเพื่อให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านทำถนนเนื่องจากเจ้าของที่ดินได้ยกทางพิพาทให้เป็นทางผ่านจึงเป็นการใช้ทางพิพาทเข้าออกโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดินถือไม่ได้ว่าได้ใช้ทางพิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินไม่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาได้สิทธิภารจำยอมจึงไม่ได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6954/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความได้สิทธิภาระจำยอม: การใช้ทางโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดินไม่ถือเป็นการใช้โดยความสงบ
การได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา1401 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย ซึ่งได้แก่มาตรา 1382 เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องได้ใช้สอยอสังหาริมทรัพย์อื่นโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภาระจำยอมในอสังหาริมทรัพย์นั้นติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จึงจะได้ภาระจำยอมเหนืออสังหาริมทรัพย์นั้น
การช่วยออกเงินค่าทำท่อน้ำและดินลูกรังเพื่อให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านทำถนน เนื่องจากเจ้าของที่ดินได้ยกทางพิพาทให้เป็นทางผ่าน จึงเป็นการใช้ทางพิพาทเข้าออกโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดิน ถือไม่ได้ว่าได้ใช้ทางพิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดิน ไม่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาได้สิทธิภาระจำยอม จึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิใช้สิทธิเหนือพื้นดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และการไม่ตกเป็นภารจำยอมจากบุคคลภายนอก
สัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินกำหนดไว้ว่า "ผู้ใช้ (จำเลย)มีสิทธิปรับปรุงที่ดินโดยถม ขุดดินมาถม ทำสะพาน ถนนเชื่อมต่อกับที่ดินของผู้ใช้ (จำเลย) หรือผู้ใกล้เคียง หรือออกสู่ถนนได้" ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินจึงมีสิทธิตามสัญญาที่จะทำถนนบนที่ดินได้ แม้ตามสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินในตอนต้นจะกำหนดว่าผู้ใช้ (จำเลย) จะต้องใช้สิทธิเหนือพื้นดินตามสัญญาเพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับพนักงานของผู้ใช้ (จำเลย) เท่านั้นก็ตามแต่ข้อความในตอนท้ายได้กำหนดไว้ด้วยว่า "รวมทั้งการใช้ถนนผ่านเข้าออกเพียงบางส่วนเพื่อสะดวกในกิจการของผู้ใช้ได้ด้วย"โดยที่การขนส่งคนทางอากาศ ครัวการบินและกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการดังกล่าวเป็นกิจการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ได้จดทะเบียนไว้ ดังนั้นที่จำเลยใช้ถนนคอนกรีตบนที่ดินตามสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินเป็นทางเข้าออกบางส่วนสำหรับการลำเลียงอาหารฝ่ายโภชนาการของจำเลยไปยังเครื่องบินของจำเลยก็ดี ที่จำเลยอนุญาตให้พนักงานสายการบินอื่นใช้ถนนคอนกรีตดังกล่าวเป็นทางผ่านไปยังครัวการบินของจำเลยก็ดีถือได้ว่าเป็นการใช้ที่ดินตามสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินเป็นถนนผ่านเข้าออกเพียงบางส่วนเพื่อความสะดวกในกิจการของจำเลยตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยมีสิทธิทำได้โดยชอบ หาได้เป็นการผิดสัญญาไม่ จำเลยได้จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าทางเข้าออกของถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ตลอดเวลา บุคคลภายนอกที่จะใช้ถนนดังกล่าวได้มีเฉพาะพนักงานของบริษัทสายการบินอื่นที่เป็นลูกค้าของจำเลย ซึ่งมาติดต่อธุรกิจกับจำเลย ส่วนบุคคลอื่นจะใช้ถนนดังกล่าวได้เฉพาะเมื่อมาติดต่อภายในอาคารของจำเลยทั้งจะต้องลงเวลาเข้าออกและติดบัตรผู้มาติดต่อไว้ด้วย และจะใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางผ่านไม่ได้ บุคคลภายนอกที่ไม่มีธุรกิจกับจำเลยจะใช้ถนนดังกล่าวไม่ได้ ดังนั้นการที่บุคคลภายนอกใช้ถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์นั้น เป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าบุคคลภายนอกที่ใช้ถนนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นแต่อย่างใด ดังนั้นแม้บุคคลภายนอกจะได้ใช้ถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์เป็นเวลานานเท่าใด ถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ก็ไม่ตกอยู่ในภาระจำยอมการที่จำเลยให้บุคคลภายนอกใช้ถนนจึงหาได้เป็นการไม่สงวนทรัพย์สินที่เช่าเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองไม่ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการใช้สิทธิเหนือพื้นดินทำถนน และการไม่ถือเป็นการสร้างภาระจำยอม
สัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินกำหนดไว้ว่า "ผู้ใช้ (จำเลย) มีสิทธิปรับปรุงที่ดินโดยถม ขุดดินมาถม ทำสะพาน ถนนเชื่อมต่อกับที่ดินของผู้ใช้ (จำเลย)หรือผู้ใกล้เคียง หรือออกสู่ถนนได้" ดังนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินจึงมีสิทธิตามสัญญาที่จะทำถนนบนที่ดินได้
แม้ตามสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินในตอนต้นจะกำหนดว่า ผู้ใช้(จำเลย) จะต้องใช้สิทธิเหนือพื้นดินตามสัญญาเพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับพนักงานของผู้ใช้ (จำเลย)เท่านั้นก็ตาม แต่ข้อความในตอนท้ายได้กำหนดไว้ด้วยว่า "รวมทั้งการใช้เป็นถนนผ่านเข้าออกเพียงบางส่วนเพื่อสะดวกในกิจการของผู้ใช้ได้ด้วย"โดยที่การขนส่งคนทางอากาศ ครัวการบินและกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการดังกล่าวเป็นกิจการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ได้จดทะเบียนไว้ ดังนั้นที่จำเลยใช้ถนนคอนกรีตบนที่ดินตามสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินเป็นทางเข้าออกบางส่วน สำหรับการลำเลียงอาหารฝ่ายโภชนาการของจำเลยไปยังเครื่องบินของจำเลยก็ดี ที่จำเลยอนุญาตให้พนักงานสายการบินอื่นใช้ถนนคอนกรีตดังกล่าวเป็นทางผ่านไปยังครัวการบินของจำเลยก็ดี ถือได้ว่าเป็นการใช้ที่ดินตามสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินเป็นถนนผ่านเข้าออกเพียงบางส่วนเพื่อความสะดวกในกิจการของจำเลยตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยมีสิทธิทำได้โดยชอบ หาได้เป็นการผิดสัญญาไม่
จำเลยได้จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าทางเข้าออกของถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ตลอดเวลา บุคคลภายนอกที่จะใช้ถนนดังกล่าวได้มีเฉพาะพนักงานของบริษัทสายการบินอื่นที่เป็นลูกค้าของจำเลย ซึ่งมาติดต่อธุรกิจกับจำเลย ส่วนบุคคลอื่นจะใช้ถนนดังกล่าวได้เฉพาะเมื่อมาติดต่อภายในอาคารของจำเลย ทั้งจะต้องลงเวลาเข้าออกและติดบัตรผู้มาติดต่อไว้ด้วย และจะใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางผ่านไม่ได้ บุคคลภายนอกที่ไม่มีธุรกิจกับจำเลยจะใช้ถนนดังกล่าวไม่ได้ ดังนั้นการที่บุคคลภายนอกใช้ถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์นั้น เป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าบุคคลภายนอกที่ใช้ถนนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นแต่อย่างใด ดังนั้นแม้บุคคลภายนอกจะได้ใช้ถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์เป็นเวลานานเท่าใด ถนนบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ก็ไม่ตกอยู่ในภาระจำยอมการที่จำเลยให้บุคคลภายนอกใช้ถนนจึงหาได้เป็นการไม่สงวนทรัพย์สินที่เช่าเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองไม่ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยไม่ได้
of 38