พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,437 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแจ้งความเท็จ – ความเข้าใจโดยสุจริต – ไม่เป็นความผิดตาม ม.158
แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม. อาญา ม. 158 นั้นผู้แจ้งต้องมีเจตนาแจ้งเท็จให้ผู้อื่นเสียหายจึงจะมีความผิด
โจทก์กับบิดาจำเลยทำสัญญาซื้อสวนยางพิพาทกันที่สุดสัญญาต้องเลิกเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว โจทก์ต้องคืนสวนยาง บิดาจำเลยต้องคืนมัดจำตามที่ศาลตกลงกัน แต่โจทก์ถือว่าโจทก์ยังมีสิทธิตัดยางอยู่เพราะยังไม่ได้คืนมัดจำและจำเลยได้ไปแจ้งตำรวจจับโจทก์หาว่าลักตัดยางของบิดาตามที่บิดาใช้ไปภายหลังที่โจทก์ได้ทราบว่าไม่มีสิทธิซื้อและต้องคืนสวนยางแล้ว เช่นนี้เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าใจโดยสุจริตหาได้เจตนาแจ้งความเท็จให้โจทก์เสียหายไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ก.ม. อาญา ม. 158
โจทก์กับบิดาจำเลยทำสัญญาซื้อสวนยางพิพาทกันที่สุดสัญญาต้องเลิกเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว โจทก์ต้องคืนสวนยาง บิดาจำเลยต้องคืนมัดจำตามที่ศาลตกลงกัน แต่โจทก์ถือว่าโจทก์ยังมีสิทธิตัดยางอยู่เพราะยังไม่ได้คืนมัดจำและจำเลยได้ไปแจ้งตำรวจจับโจทก์หาว่าลักตัดยางของบิดาตามที่บิดาใช้ไปภายหลังที่โจทก์ได้ทราบว่าไม่มีสิทธิซื้อและต้องคืนสวนยางแล้ว เช่นนี้เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าใจโดยสุจริตหาได้เจตนาแจ้งความเท็จให้โจทก์เสียหายไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ก.ม. อาญา ม. 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จต้องมีเจตนาทำให้ผู้อื่นเสียหาย หากสุจริตไม่มีความผิด แม้จะมีการแจ้งความจับกุม
แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา มาตรา 158 นั้นผู้แจ้งต้องมีเจตนาแจ้งเท็จให้ผู้อื่นเสียหายจึงจะมีความผิด
โจทก์กับบิดาจำเลยทำสัญญาซื้อสวนยางพิพาทกัน ที่สุดสัญญาต้องเลิกเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว โจทก์ต้องคืนสวนยาง บิดาจำเลยต้องคืนมัดจำตามที่ตกลงกัน แต่โจทก์ถือว่าโจทก์ยังมีสิทธิตัดยางอยู่เพราะยังไม่ได้คืนมัดจำ และจำเลยได้ไปแจ้งตำรวจจับโจทก์หาว่าลักตัดยางของบิดาตามที่บิดาใช้ไปภายหลังที่โจทก์ได้ทราบว่าไม่มีสิทธิซื้อและต้องคืนสวนยางแล้ว เช่นนี้เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าใจโดยสุจริตหาได้เจตนาแจ้งความเท็จให้โจทก์เสียหายไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158
โจทก์กับบิดาจำเลยทำสัญญาซื้อสวนยางพิพาทกัน ที่สุดสัญญาต้องเลิกเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว โจทก์ต้องคืนสวนยาง บิดาจำเลยต้องคืนมัดจำตามที่ตกลงกัน แต่โจทก์ถือว่าโจทก์ยังมีสิทธิตัดยางอยู่เพราะยังไม่ได้คืนมัดจำ และจำเลยได้ไปแจ้งตำรวจจับโจทก์หาว่าลักตัดยางของบิดาตามที่บิดาใช้ไปภายหลังที่โจทก์ได้ทราบว่าไม่มีสิทธิซื้อและต้องคืนสวนยางแล้ว เช่นนี้เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าใจโดยสุจริตหาได้เจตนาแจ้งความเท็จให้โจทก์เสียหายไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสัญชาติ: การบังคับรับใบสำคัญคนต่างด้าวและการโต้แย้งหน้าที่ของนายทะเบียน
ฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นคนไทยถูกจำเลยบังคับให้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ร้องขอคืนสัญชาติไม่ จึงไม่ต้องไปร้องต่อร.ม.ต.ว่าการกระทรวงมหาดไทย ตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495 มาตรา 20
จำเลยเป็นผู้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่กับโจทก์ โจทก์ย่อมต้องฟ้องจำเลย หาใช่จะไปฟ้องกรมตำรวจซึ่งมิได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ถูกโต้แย้งหน้าที่โดยนายทะเบียนคนต่างด้าว โจทก์ย่อมฟ้องผู้บังคับกองตำรวจผู้เป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวโดยพ.ต.ต.สง่า อินทวณิช เป็นผู้ครองตำแหน่งอยู่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
จำเลยเป็นผู้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่กับโจทก์ โจทก์ย่อมต้องฟ้องจำเลย หาใช่จะไปฟ้องกรมตำรวจซึ่งมิได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ถูกโต้แย้งหน้าที่โดยนายทะเบียนคนต่างด้าว โจทก์ย่อมฟ้องผู้บังคับกองตำรวจผู้เป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวโดยพ.ต.ต.สง่า อินทวณิช เป็นผู้ครองตำแหน่งอยู่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสัญชาติ: การโต้แย้งหน้าที่นายทะเบียนคนต่างด้าวและการฟ้องจำเลยที่ถูกต้อง
ฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นคนไทยถูกจำเลยบังคับให้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ร้องขอคืนสัญชาติไม่ จึงไม่ต้องไปร้องต่อร.ม.ต.ว่าการกระทรวงมหาดไทย ตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495 มาตรา 20
จำเลยเป็นผู้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่กับโจทก์ โจทก์ย่อมต้องฟ้องจำเลย หาใช่จะไปฟ้องกรมตำรวจซึ่งมิได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ถูกโต้แย้งหน้าที่โดยนายทะเบียนคนต่างด้าว โจทก์ย่อมฟ้องผู้บังคับกองตำรวจผู้เป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวโดยพ.ต.ต.สง่า อินทวณิช เป็นผู้ครองตำแหน่งอยู่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
จำเลยเป็นผู้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่กับโจทก์ โจทก์ย่อมต้องฟ้องจำเลย หาใช่จะไปฟ้องกรมตำรวจซึ่งมิได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ถูกโต้แย้งหน้าที่โดยนายทะเบียนคนต่างด้าว โจทก์ย่อมฟ้องผู้บังคับกองตำรวจผู้เป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวโดยพ.ต.ต.สง่า อินทวณิช เป็นผู้ครองตำแหน่งอยู่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีนายทะเบียนคนต่างด้าวบังคับให้รับใบสำคัญคนต่างด้าว แม้มิได้ขอคืนสัญชาติ
ฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นคนไทยถูกจำเลยบังคับให้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ร้องขอคืนสัญชาติไม่ จึงไม่ต้องไปร้องต่อ ร.ม.ต.ว่าการกระทรวงมหาดไทย ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2485 ม.20
จำเลยเป็นผู้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่กับโจทก์ ๆ ย่อมต้องฟ้องจำเลย หาใช่จะไปฟ้องกรมตำรวจซึ่งมิได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ถูกโต้แย้งหน้าที่โดยนายทะเบียนคนต่างด้าวโจทก์ย่อมฟ้องผู้บังคับกองตำรวจผู้เป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวโดย พ.ต.ต.สง่า อินทวณิช เป็นผู้ครองตำแหน่งอยู่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 55
จำเลยเป็นผู้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่กับโจทก์ ๆ ย่อมต้องฟ้องจำเลย หาใช่จะไปฟ้องกรมตำรวจซึ่งมิได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ถูกโต้แย้งหน้าที่โดยนายทะเบียนคนต่างด้าวโจทก์ย่อมฟ้องผู้บังคับกองตำรวจผู้เป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวโดย พ.ต.ต.สง่า อินทวณิช เป็นผู้ครองตำแหน่งอยู่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา แม้ข้อเท็จจริงวันเกิดเหตุคลาดเคลื่อนเล็กน้อย และพฤติการณ์การกระทำ
ฟ้องของโจทก์เป็นแต่กล่าวถึงวันกระทำผิดของจำเลยว่าเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 หาได้กล่าวว่าเป็นวันอะไรไม่ พยานโจทก์ทุกคนก็ว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 ตรงกับฟ้อง แม้พยานโจทก์บางคนจะกล่าวว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 เป็นวันเสาร์ ความจริงเป็นวันอาทิตย์ เมื่อข้อเท็จจริงอื่นๆ ยังน่าเชื่อว่าวันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ที่ 29 มี.ค.96 ซึ่งตรงกับวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ที่พยานบางคนว่าเป็นวันเสาร์จึงอาจจำผิดไปเพียงเท่านี้ ยังเรียกไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุรา อาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุรา อาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าหรือไม่: ศาลลดโทษจากฆ่าโดยเจตนา เป็นฆ่าโดยไม่เจตนา พิจารณาจากพฤติการณ์และอาวุธ
ฟ้องของโจทก์เป็นแต่กล่าวถึงวันกระทำผิดของจำเลยว่าเป็นวันที่ 29 มี.ค. 46 ตรงกับฟ้อง แม้พยานโจทก์บางคนจะกล่าวว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 เป็นวันเสาร์ ความ ความจริงเป็นวันอาทิตย์ เมื่อข้อเท็จจริงอื่น ๆ ยังน่าเชื่อว่าวันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ที่ 29 มี.ค. 96 ซึ่งตรงกับวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ที่พยานบางคนว่าเป็นวันเสาร์จึงอาจจาผิดไปเพียงเท่านี้ ยังเรียกไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุราอาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุราอาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานฆ่าคนตาย โดยคำนึงถึงวันเกิดเหตุที่แตกต่างเล็กน้อย และพฤติการณ์ขณะกระทำผิด
ฟ้องของโจทก์เป็นแต่กล่าวถึงวันกระทำผิดของจำเลยว่าเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 หาได้กล่าวว่าเป็นวันอะไรไม่ พยานโจทก์ทุกคนก็ว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 ตรงกับฟ้อง แม้พยานโจทก์บางคนจะกล่าวว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 เป็นวันเสาร์ ความจริงเป็นวันอาทิตย์ เมื่อข้อเท็จจริงอื่นๆ ยังน่าเชื่อว่าวันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ที่ 29 มี.ค.96 ซึ่งตรงกับวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ที่พยานบางคนว่าเป็นวันเสาร์จึงอาจจำผิดไปเพียงเท่านี้ ยังเรียกไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุรา อาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุรา อาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1247/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มลดโทษอาญา: หลักการหักกลบลบกันเมื่อโทษเพิ่มและลดมีกำหนดเท่ากัน
เมื่อโทษที่จะเพิ่มและจะลดมีกำหนด (กึ่งหนึ่ง) เท่ากันศาลต้องให้หักกลบลบกัน ไม่ต้องเพิ่มไม่ต้องลด
แม้ มาตรา 293 จะกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงไว้ไม่เกิน 5 ปีแต่เมื่อมีการเพิ่มโทษ ผู้นั้นก็ยังต้องถูกเพิ่มโทษอีกโสดหนึ่งด้วย
แม้ มาตรา 293 จะกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงไว้ไม่เกิน 5 ปีแต่เมื่อมีการเพิ่มโทษ ผู้นั้นก็ยังต้องถูกเพิ่มโทษอีกโสดหนึ่งด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1247/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มลดโทษอาญา: หักกลบลบกันเมื่อมีอัตราเท่ากัน แม้มีโทษฐานไม่เข็ดหลาบ
เมื่อโทษที่จะเพิ่มและจะลดมีกำหนด (กึ่งหนึ่ง) เท่ากันศาลต้องให้หักกลบลบกัน ไม่ต้องเพิ่มไม่ต้องลด
แม้ มาตรา 293 จะกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงไว้ไม่เกิน 5 ปีแต่เมื่อมีการเพิ่มโทษ ผู้นั้นก็ยังต้องถูกเพิ่มโทษอีกโสดหนึ่งด้วย
แม้ มาตรา 293 จะกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงไว้ไม่เกิน 5 ปีแต่เมื่อมีการเพิ่มโทษ ผู้นั้นก็ยังต้องถูกเพิ่มโทษอีกโสดหนึ่งด้วย