พบผลลัพธ์ทั้งหมด 485 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5892/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับคู่ความและพยานเดียวกัน ศาลชอบด้วยกฎหมาย
คดีสามสำนวนค้างพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้นเดียวกันโจทก์และจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นคู่ความรายเดียวกันพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสามสำนวนส่วนใหญ่เป็นพยานชุดเดียวกัน จะเป็นการสะดวกหากพิจารณารวมกัน จำเลยยื่นคำร้องขอให้รวมพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกันหลังจากคดีสำนวนแรกสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วและสืบพยานจำเลยไปบ้างแล้ว ส่วนคดีอีกสองสำนวนเพียงแต่สืบพยานโจทก์เสร็จซึ่งเป็นเวลา ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาทั้งสามสำนวน โจทก์มีโอกาสสืบ พยานโจทก์ทั้งสามสำนวนและซักค้านพยานจำเลยได้เต็มที่ในสำนวนแรก แม้จำเลยจะงดสืบพยานจำเลยอีกสองสำนวนก็มิได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบในเชิงคดี การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกันจึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5892-5894/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รวมพิจารณาคดีอาญาหลายสำนวน: ความชอบด้วยกฎหมายและการไม่เสียเปรียบ
คดีสามสำนวนค้างพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้นเดียวกัน โจทก์และจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นคู่ความรายเดียวกัน พยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสามสำนวนส่วนใหญ่เป็นพยานชุดเดียวกัน จะเป็นการสะดวกหากพิจารณารวมกันจำเลยยื่นคำร้องขอให้ร่วมพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกันหลังจากคดีสำนวนแรกสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วและสืบพยานจำเลยไปบ้างแล้ว ส่วนคดีอีกสองสำนวนเพียงแต่สืบพยานโจทก์เสร็จซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาทั้งสามสำนวน โจทก์มีโอกาสสืบพยานโจทก์ทั้งสามสำนวนและซักค้านพยานจำเลยได้เต็มที่ในสำนวนแรก แม้จำเลยจะงดสืบพยานจำเลยอีกสองสำนวนก็มิได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบในเชิงคดี การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกันจึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษในคดีทุจริตเงินบำนาญพิเศษหลายกระทง หากศาลมิได้รวมการพิจารณาคดี โทษจำคุกรวมอาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
คดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นเรื่องทุจริตเงินบำนาญพิเศษจากส่วนราชการเดียวกันเพียงแต่อ้างชื่อผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญพิเศษต่างรายกันหน่วยราชการซึ่งเป็นผู้เสียหายก็รายเดียวกัน โจทก์อาจฟ้องจำเลยสำหรับการกระทำความผิดในคดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นคดีเดียวกันได้เพราะโจทก์จำเลยเป็นคนเดียวกัน และพยานหลักฐานน่าจะเป็นชุดเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าโจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละกระทงความผิดเป็นรายสำนวนไป และศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีทุกสำนวนรวมกัน ศาลจะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อโจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อโดยศาลมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแล้วศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 ทั้งสองสำนวนแล้ว ศาลก็นับโทษจำเลยต่อกันไม่ได้เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 บัญญัติไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีทุจริตหลายกระทง หากศาลมิได้รวมการพิจารณาคดี โทษจำคุกต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนด
การกระทำความผิดหลายกรรม ถ้า โจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละกระทงความผิด และศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีทุกสำนวนรวมกัน ก็จะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตาม ป.อ. มาตรา 91 แต่เมื่อโจทก์แยกฟ้องโดยศาลมิได้สั่งให้พิจารณาคดีรวมกัน และศาลลงโทษจำคุกจำเลยทุกกรรมเต็ม ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 ทั้งสองสำนวนแล้ว ดังนี้ จะนับโทษจำเลยต่อกันไม่ได้ เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่ป.อ. มาตรา 91 บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อในคดีทุจริต - การพิจารณาโทษรวมเมื่อศาลไม่รวมสำนวน
คดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นเรื่องทุจริตเงินบำนาญพิเศษจากส่วนราชการเดียวกันเพียงแต่อ้างชื่อผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญพิเศษต่างรายกันหน่วยราชการซึ่งเป็นผู้เสียหายก็รายเดียวกัน โจทก์อาจฟ้องจำเลยสำหรับการกระทำความผิดในคดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นคดีเดียวกันได้เพราะโจทก์จำเลยเป็นคนเดียวกัน และพยานหลักฐานน่าจะเป็นชุดเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าโจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละกระทงความผิดเป็นรายสำนวนไป และศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีทุกสำนวนรวมกัน ศาลจะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เมื่อโจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อโดยศาลมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแล้วศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 ทั้งสองสำนวนแล้ว ศาลก็นับโทษจำเลยต่อกันไม่ได้เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนนาที่เช่า เมื่อผู้ขายไม่แจ้งสิทธิก่อนตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41 วรรคสี่ บัญญัติไว้.
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41 วรรคสี่ บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนนาที่เช่าเมื่อมีการขายฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และขอบเขตการอุทธรณ์คดีมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่า 20,000 บาท
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41วรรคสี่ บัญญัติไว้.
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41วรรคสี่ บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800-836/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
งานกรีดยางเป็นงานเกษตรกรรม ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำทุกฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันระบุว่ามิให้ใช้บังคับแก่งานเกษตรกรรมซึ่งได้แก่งานเพาะปลูก งานประมง ป่าไม้ และ เลี้ยงสัตว์ สำหรับงานเกษตรกรรมหรืองานเพาะปลูกนั้น เกษตรกรผู้ประกอบการดังกล่าวย่อมมุ่งหวังถึงผลิตผลของพืชที่เพาะปลูกลงเป็นสำคัญ เมื่อปลูกยางพาราแล้วมีการกรีดยางก็เป็นการเก็บเกี่ยวผลิตผลจากงานเพาะปลูก ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการเพาะปลูก ถือได้ว่าการที่จำเลยจ้างโจทก์กรีดยางพาราเป็นการจ้างทำงานเกษตรกรรมซึ่งไม่อยู่ในบังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าจ้างตามที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดซึ่งนอกเหนือไปจากที่ตกลงกันไว้หาได้ไม่
เมื่อโจทก์ฟ้องขอสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามาน้อยกว่าที่ควรจะได้จริงตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งเป็นการผิดพลาดพลั้งเผลอ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์จึงแสดงว่าไม่มีเหตุสมควรเพื่อความเป็นธรรมที่จะพิพากษาเกินคำขอ
ศาลแรงงานกลางให้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทุกสำนวนยื่นบัญชีระบุพยานอ้างพยานร่วมกัน โดยอ้างตัวโจทก์ทุกสำนวนเป็นพยานด้วย การที่โจทก์บางสำนวนเข้าเบิกความเป็นพยานก็เท่ากับเป็นพยานโจทก์ทุกสำนวนด้วย เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่าถ้อยคำที่โจทก์บางคนดังกล่าวเบิกความเป็นพยานรับฟังได้ก็มีผลถึงโจทก์อื่นด้วย
เมื่อโจทก์ฟ้องขอสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามาน้อยกว่าที่ควรจะได้จริงตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งเป็นการผิดพลาดพลั้งเผลอ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์จึงแสดงว่าไม่มีเหตุสมควรเพื่อความเป็นธรรมที่จะพิพากษาเกินคำขอ
ศาลแรงงานกลางให้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทุกสำนวนยื่นบัญชีระบุพยานอ้างพยานร่วมกัน โดยอ้างตัวโจทก์ทุกสำนวนเป็นพยานด้วย การที่โจทก์บางสำนวนเข้าเบิกความเป็นพยานก็เท่ากับเป็นพยานโจทก์ทุกสำนวนด้วย เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่าถ้อยคำที่โจทก์บางคนดังกล่าวเบิกความเป็นพยานรับฟังได้ก็มีผลถึงโจทก์อื่นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800-836/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
งานกรีดยางเป็นงานเกษตรกรรม ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทุกฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันระบุว่ามิให้ใช้บังคับแก่งานเกษตรกรรมซึ่งได้แก่งานเพาะปลูก งานประมง ป่าไม้ และ เลี้ยงสัตว์ สำหรับงานเกษตรกรรมหรืองานเพาะปลูกนั้น เกษตรกรผู้ประกอบการดังกล่าวย่อมมุ่งหวังถึงผลิตผลของพืชที่เพาะปลูกลงเป็นสำคัญ เมื่อปลูกยางพาราแล้วมีการกรีดยางก็เป็น การเก็บเกี่ยวผลิตผลจากงานเพาะปลูก ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของ การเพาะปลูก ถือได้ว่าการที่จำเลยจ้างโจทก์กรีดยางพาราเป็นการจ้างทำงานเกษตรกรรมซึ่งไม่อยู่ในบังคับ ประกาศกระทรวงมหาดไทย โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ตามที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดซึ่งนอกเหนือไปจากที่ตกลงกันไว้หาได้ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องขอสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามาน้อยกว่าที่ควรจะได้จริงตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งเป็นการผิดพลาด พลั้งเผลอ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์จึงแสดงว่าไม่มีเหตุสมควรเพื่อความเป็นธรรมที่จะ พิพากษาเกินคำขอ ศาลแรงงานกลางให้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทุกสำนวนยื่นบัญชีระบุพยานอ้างพยานร่วมกัน โดยอ้างตัวโจทก์ทุกสำนวนเป็นพยานด้วย การที่โจทก์บางสำนวนเข้าเบิกความเป็นพยานก็เท่ากับเป็นพยานโจทก์ทุกสำนวนด้วย เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่าถ้อยคำที่โจทก์บางคนดังกล่าวเบิกความเป็นพยานรับฟัง ได้ก็มีผลถึงโจทก์อื่นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิผู้ร้องสอด และดุลพินิจศาลรวมพิจารณาคดี
ตามคำร้องสอดและคำสั่งของศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดีในฐานะเป็นจำเลยร่วม ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอดดังนั้นเมื่อคดีเดิมมิได้มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามฟ้องโดยสุจริตหรือไม่จำเลยร่วมจึงไม่อาจใช้สิทธิตั้งประเด็นข้อนี้ขึ้นใหม่ในคำร้องสอดเพื่อให้ศาลวินิจฉัยในคดีนี้ได้
การสั่งรวมพิจารณาคดีหลายเรื่องอยู่ในดุลพินิจของศาลถ้าจะต้องเลื่อนการพิจารณาไปทำให้ล่าช้าศาลไม่รวมพิจารณา
การสั่งรวมพิจารณาคดีหลายเรื่องอยู่ในดุลพินิจของศาลถ้าจะต้องเลื่อนการพิจารณาไปทำให้ล่าช้าศาลไม่รวมพิจารณา