คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 192 วรรคสอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 234 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1965/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลียนเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน: ผลกระทบต่อการฟ้องร้องและการพิสูจน์ความผิด
โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้า คำว่า แจ๊คสัน JACKSON ของโจทก์ร่วมซึ่งได้จดทะเบียนแล้วและโจทก์ร่วมได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าของโจทก์ร่วมประเภทกางเกงยีนสำเร็จรูปนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป โดยจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้า คำว่า JACKSONG(แจ๊คซอง) กับสินค้ากางเกงยีนของจำเลยทั้งสองเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วม และร่วมกันจำหน่ายและเสนอจำหน่ายกางเกงยีนที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมแก่ประชาชนทั่วไป แต่ทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมกลับปรากฏว่า โจทก์ร่วมหาได้นำเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนดังกล่าวที่ได้รับโอนมาไปใช้กับสินค้ากางเกงยีนของโจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมผลิตและจำหน่ายกางเกงยีนติดเครื่องหมายการค้าคำว่า JACKSON และข้างหน้ามีรูปกีตาร์1 ตัว วางตั้งเฉียง จำเลยทั้งสองได้เลียนเครื่องหมายการค้าJACKSON ซึ่งเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่มีรูปกีตาร์ ของ โจทก์ร่วมโดยเพิ่มอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ตัว G อีก 1 ตัว ท้ายคำว่า JACKSON เป็น JACKSONGและดัดแปลงรูปกีตาร์ ให้แตกต่างจากของโจทก์ร่วมเพียงเล็กน้อยดังนี้ เมื่อปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า JACKSON มีรูปกีตาร์ของโจทก์ร่วมยังมิได้รับการจดทะเบียน จึงมีผลเท่ากับโจทก์และโจทก์ร่วมอ้างว่าจำเลยทั้งสองเลียนเครื่องหมายการค้ายังมิได้จดทะเบียนของโจทก์ร่วมข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาดังกล่าวจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่ง ที่กล่าวในฟ้องไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาทจากการใช้อาวุธปืน: การกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ไม่มีเจตนา
จำเลยกับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอาการมึนเมาสุรา จำเลยเอาอาวุธปืนเล็กกลจ่อใต้ใบหูขวาของผู้ตายเพื่อจะขู่ผู้ตายไม่ให้หลบหนีผู้ตายพยายามวิ่งไปหา ต.บิดาจำเลยฉุดข้อมือผู้ตายไว้ขณะนั้น นิ้วของจำเลยอยู่ที่ไกปืนการฉุดกันทำให้จำเลยเสียหลักนิ้วมือถูกไกปืน เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นโดยจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะของจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ข้อแตกต่างไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสาม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการประมาทเลินเล่อของเจ้าพนักงานตำรวจขณะมึนเมาสุรา
จำเลยกับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอาการมึนเมาสุรา จำเลยเอาอาวุธปืนเล็กกลจ่อใต้ใบหูขวาของผู้ตายเพื่อจะขู่ผู้ตายไม่ให้หลบหนี ผู้ตายพยายามวิ่งไปหา ต.บิดาจำเลยฉุดข้อมือผู้ตายไว้ ขณะนั้นนิ้วของจำเลยอยู่ที่ไกปืน การฉุดกันทำให้จำเลยเสียหลักนิ้วมือถูกไกปืน เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นโดยจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะของจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ข้อแตกต่างไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง และวรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์: อำนาจหน้าที่และขอบเขตการฟ้องร้อง
จำเลยฎีกาว่ามิได้เบียดบังเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงินรวม 3 กระทงนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก หนังสือของอธิบดีกรมการปกครองถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดมีข้อความระบุว่า ไม่ควรให้พนักงานบัญชีมาทำหน้าที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เพราะพนักงานบัญชีมีหน้าที่รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่เก็บได้ตามคู่ฉบับใบเสร็จรับเงินเพื่อลงบัญชีอยู่แล้วเช่นนี้ มิใช่ระเบียบหรือคำสั่งให้ต้องปฏิบัติตาม เป็นเพียงการซักซ้อมความเข้าใจในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เท่านั้น ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยเป็นพนักงานบัญชีไม่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ตามหนังสือของอธิบดีกรมการปกครองฉบับนี้ได้ การที่จำเลยมีหน้าที่รับเงินจากลูกจ้างชั่วคราวที่ทำหน้าที่รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่หมวดการคลัง เมื่อรับเงินแล้วก็ต้องมีหน้าที่ลงบัญชีด้วย ถือได้ว่าจำเลยมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 แล้ว ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยมีหน้าที่เก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชนเท่านั้น หากแต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยมีหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินแก่ผู้ชำระเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ ลงบัญชีเงินสดและบัญชีแยกประเภท และต้องนำเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บได้ในแต่ละวันไปฝากธนาคารตามระเบียบ สาระสำคัญของคำฟ้องจึงอยู่ที่ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 เท่านั้น ดังนั้นแม้ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยไม่มีหน้าที่เก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชน หน้าที่ดังกล่าวเป็นของหัวหน้าหมวดการคลัง ซึ่งในทางปฏิบัติได้จ้างลูกจ้างชั่วคราวมาทำหน้าที่แทนก็หาเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงแตกต่างจากฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องอาญาเช็ค และการพิจารณาหลักฐานการปฏิเสธการจ่ายเงิน
แม้โจทก์ไม่ได้ระบุในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เขียนเช็ค มอบ ให้โจทก์วันใด และที่ใด เป็นค่าอะไรก็ตาม แต่ โจทก์ได้ บรรยายวันเดือน ปีที่ลงในเช็ค อัน เป็นวันที่ถึง กำหนดต้อง ชำระเงินซึ่ง ถือ ว่าเป็นวันออกเช็คตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3และได้ ระบุสถานที่เกิดเหตุไว้แล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 มอบเช็ค ให้โจทก์ที่ใด เป็นการชำระหนี้ ค่าอะไรเป็นรายละเอียดที่จะต้อง นำสืบกันในชั้นพิจารณา หาใช่ สาระสำคัญที่โจทก์จำเป็นต้อง กล่าวในฟ้องไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็น ฟ้องที่ชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 158(5) โจทก์บรรยายฟ้องว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่21 พฤศจิกายน 2528 จำเลยอ้างว่าหลงต่อสู้อ้างใบคืนเช็ค เพื่อพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินครั้งแรกในวันที่18 พฤศจิกายน 2528 ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ธนาคาร ปฏิเสธการจ่ายโดย ให้เหตุผลว่า "ยังรอเรียกเก็บอยู่ โปรดนำ มายื่นใหม่"โจทก์จึงมีสิทธินำเช็ค พิพาทไปเรียกเก็บเงินได้ อีก เมื่อธนาคารตามเช็ค ปฏิเสธการจ่ายเงินในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2528 อีกโดย ให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อ ผู้สั่งจ่าย ทั้งในวันที่ลงใน เช็ค พิพาทปรากฏว่าเงินในบัญชีของจำเลยไม่พอจ่าย คำฟ้องของโจทก์ ที่เกี่ยวกับเช็ค พิพาทจึงตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา หาได้แตกต่าง ไปจากคำฟ้องของโจทก์ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความถูกต้องของรายละเอียดผู้ลงนามในเช็ค – ไม่กระทบความผิดฐานออกเช็ค
การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดออกเช็ค โดย มีจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของจำเลยที่ 1แม้ข้อเท็จจริงตาม ทางพิจารณาจะได้ความว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย มิใช่จำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดของการบรรยายฟ้องอันเกี่ยวกับตัว ผู้ทำการแทนนิติบุคคลเท่านั้น มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความแตกต่างระหว่างผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คกับผู้ทำการแทนทางกฎหมาย ไม่กระทบความผิดฐานออกเช็ค
การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลออกเช็คโดยมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของจำเลยที่ 1 แม้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะได้ความว่าผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมิใช่จำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดของการบรรยายฟ้องอันเกี่ยวกับตัวผู้ทำการแทนนิติบุคคลเท่านั้น มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องจำเลยห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเป็นบุคคลอื่น
การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดออกเช็ค โดย มีจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของจำเลยที่ 1แม้ข้อเท็จจริงตาม ทางพิจารณาจะได้ความว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย มิใช่จำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดของการบรรยายฟ้องอันเกี่ยวกับตัว ผู้ทำการแทนนิติบุคคลเท่านั้น มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากตัวการร่วมเป็นผู้ใช้/ผู้สนับสนุน และขอบเขตการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แต่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมจำหน่ายกัญชาด้วย เพียงแต่ จำเลยที่ 2 ได้ บอกที่ซ่อน กัญชาและขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย จำหน่ายกัญชาแทนในขณะที่จำเลยที่ 2 ไม่อยู่จึงเป็นการก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิด อันเป็นความผิดฐาน เป็นผู้ใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ซึ่ง ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่าง กับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง จะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐาน เป็นผู้ใช้ ให้กระทำผิดไม่ได้
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ บอกที่ซ่อน กัญชา และขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย จำหน่ายกัญชาแก่ผู้ซื้อแทนนั้น เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1กระทำผิด เป็นความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ซึ่ง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความแตกต่างฐานความผิด: ผู้ใช้ vs. ผู้สนับสนุน และผลต่อการลงโทษ
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แต่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมจำหน่ายกัญชาด้วย เพียงแต่ จำเลยที่ 2 ได้ บอกที่ซ่อน กัญชาและขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย จำหน่ายกัญชาแทนในขณะที่จำเลยที่ 2 ไม่อยู่จึงเป็นการก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิด อันเป็นความผิดฐาน เป็นผู้ใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ซึ่ง ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่าง กับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง จะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐาน เป็นผู้ใช้ ให้กระทำผิดไม่ได้ การที่จำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ บอกที่ซ่อน กัญชา และขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย จำหน่ายกัญชาแก่ผู้ซื้อแทนนั้น เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1กระทำผิด เป็นความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ซึ่ง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ได้.
of 24