พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,443 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4771/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่ารถที่ขัดต่อกฎหมายและหลักตัวการตัวแทน: ความรับผิดของผู้ให้เช่าต่อความเสียหายจากการขับรถ
จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทจำกัดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร โดยใช้รถยนต์สี่ล้อรับจ้างบรรทุกคนโดยสารได้ไม่เกินเจ็ดคนในท้องที่จังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 34(พ.ศ. 2513) ออกตามความใน พ.ร.บ. รถยนต์พ.ศ. 2473 อันเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ในขณะพิพาท ซึ่งตามข้อ 8(5)แห่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว จำเลยที่ 2 ต้องไม่ยินยอมให้ผู้อื่นเช่ารถของจำเลยที่ 2 ไปหารายได้ ดังนี้ ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าให้จำเลยที่ 1 เช่ารถตามฟ้องไปแล้ว สัญญาเช่าดังกล่าวจึงฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 เมื่อจำเลยที่ 1 เดิน รถรับจ้างโดยสารดังกล่าวกระทำในนามของจำเลยที่ 2 ตามวัตถุประสงค์ที่จำเลยที่ 2 ขอจดทะเบียนไว้ จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารของจำเลยที่ 2ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าให้เช่ารถคันดังกล่าวไปแล้วหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4554/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าและการผิดสัญญา การกระทำของเจ้าของห้องพักที่ไม่ร้ายแรงไม่เป็นเหตุบอกเลิกสัญญา
จำเลยเช่าอาคารของโจทก์เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของพนักงานจำเลย ระหว่างการเช่า โจทก์ไขกุญแจเข้าไปในห้องของนางสาว อ. พนักงานของจำเลยในเวลากลางคืนขณะที่นางสาว อ. กำลังนอนหลับ แต่โจทก์เข้าไปเพื่อปิดน้ำเนื่องจากมีการเปิดน้ำไหลทิ้งไว้ ประกอบกับโจทก์เป็นหญิง กรณีจึงไม่ใช่เรื่องร้ายแรง จำเลยจะยกเอาเรื่องดังกล่าวนี้มาเป็นเหตุเลิกสัญญาเช่าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4554/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าและการชดใช้ค่าเสียหาย กรณีเจ้าของทรัพย์รบกวนการใช้ประโยชน์ของผู้เช่า
จำเลยเช่าอาคารของโจทก์เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของพนักงานจำเลยระหว่างการเช่า โจทก์ไขกุญแจเข้าไปในห้องของนางสาวอ.พนักงานของจำเลยในเวลากลางคืนขณะที่นางสาวอ. กำลังนอนหลับแต่โจทก์เข้าไปเพื่อปิดน้ำเนื่องจากมีการเปิดน้ำไหลทิ้งไว้ประกอบกับโจทก์เป็นหญิง กรณีจึงไม่ใช่เรื่องร้ายแรง จำเลยจะยกเอาเรื่องดังกล่าวนี้มาเป็นเหตุเลิกสัญญาเช่าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4003/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยอายุความและการรุกล้ำที่ดิน: สิทธิเมื่อมีการซื้อขายทรัพย์สิน
การที่ ส.และจำเลยที่2มีข้อตกลงกับบริษัทท. ว่าบริษัทท. ยอมให้อาคารเลขที่ 390/8 และ 390/9 ชั้นที่ 3 และ 4รุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 40581 ของบริษัท ท. คงเป็นอยู่ตามเดิมโดยส.และจำเลยที่2ต้องยอมให้บริษัทท. ติดตั้งป้ายโฆษณาที่ด้านหน้าของอาคารดังกล่าว ชั้น 3 และ 4 ในส่วนที่รุกล้ำเป็นการแลกเปลี่ยนนั้น มิใช่เป็นการที่เจ้าของทรัพย์ยอมให้ผู้อื่นได้ใช้หรือรับประโยชน์ในตัวทรัพย์ หากแต่เป็นเพียงการยอมให้รุกล้ำแดนกรรมสิทธิ์เท่านั้น ทั้งมิใช่เป็นการชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดตลอดจนมิได้มีค่าเช่าอีกด้วย กรณีไม่เข้าลักษณะเช่าทรัพย์ กรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการที่อสังหาริมทรัพย์แปลงหนึ่งต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ข้อตกลงนี้จึงเป็นเพียงบุคคลสิทธิ เมื่อส.และบริษัทท. มิได้จดทะเบียนหนังสือข้อตกลงดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อตกลงดังกล่าวนั้นจึงไม่โอนมายังจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับโอน ผู้ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนภาระจำยอมและไม่ว่าผู้รับโอนภารยทรัพย์จะรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตามก็ไม่อาจต่อสู้กับสิทธิภาระจำยอมดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแท้จริงสัญญาเช่า: เงินช่วยเหลือฯ เป็นค่าเช่าล่วงหน้า, สิทธิคืนเงินเมื่อผู้ให้เช่าผิดสัญญา
ขณะที่โจทก์จำเลยทำความตกลงเกี่ยวกับเงินค่าประกันสัญญาและเงินช่วยค่าปลูกสร้างนั้น อาคารสถานที่เช่าได้ปลูกเสร็จแล้วจึงไม่ใช่เงินช่วยค่าปลูกสร้างที่แท้จริง แต่เป็นเงินที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าให้เป็นค่าตอบแทนแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าในการที่จะให้โจทก์เช่าโดยมีกำหนดระยะเวลาเช่า 2 ปีอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเช่นเดียวกับเงินกินเปล่า การตีความแสดงเจตนานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 132 ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร และตามมาตรา 368 ให้ตีความตามสัญญาไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงประเพณีด้วย โดยปกติของการทำสัญญาเช่าที่ผู้เช่าต้องให้เงินกินเปล่าล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแก่ผู้ให้เช่าก็เพื่อผู้เช่าจะได้เช่าทรัพย์ตามกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้เป็นการตอบแทนกำหนดระยะเวลาเช่าจึงเป็นข้อสาระสำคัญแห่งสัญญาว่าหากผู้เช่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าก็มีหน้าที่ต้องให้ผู้เช่าเช่าจนครบเวลาที่ตกลงกัน ฉะนั้นข้อความในสัญญาเช่าที่ว่า "เงินที่ผู้เช่าได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าตามสัญญานี้ไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าผู้เช่าจะอยู่จนครบกำหนดตามสัญญาเช่าหรือไม่ก็ตามผู้เช่าไม่มีสิทธิเรียกคืนจากผู้ใช้เช่าไม่ว่ากรณีใด ๆทั้งสิ้น" จึงใช้บังคับเฉพาะกรณีที่โจทก์ผู้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาเท่านั้น หาได้ใช้บังคับในกรณีที่จำเลยผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3761-3765/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและการบังคับตามสัญญา แม้เจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่อาจจัดการให้เช่าต่อได้ การฟ้องขับไล่จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
สัญญาเช่าระบุว่า "เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า 12 ปี นับแต่วันทำสัญญานี้เป็นต้นไป ต้องให้ผู้เช่ามีสิทธิเช่าต่อไปอีก และทำสัญญากับกรมวิสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยตรงต่อไป" ข้อสัญญานี้เป็นคำมั่นที่ผูกพันโจทก์ผู้ให้เช่าฝ่ายเดียวที่จะต้องให้จำเลยผู้เช่ามีสิทธิเช่าต่อไป เมื่อปรากฏว่าก่อนสัญญาเช่าครบกำหนด จำเลยแจ้งความประสงค์ที่จะเช่าต่อ กรณีย่อมบังคับกันได้ตามสัญญา โจทก์ต้องให้จำเลยมีสิทธิเช่าต่อไป แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่ากรรมสิทธิในตึกพิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์ไม่อาจจัดการให้จำเลยเช่ากับกรมวิสามัญศึกษาโดยตรงได้ โจทก์ก็คงผูกพันตามสัญญาที่จะต้องให้จำเลยมีสิทธิเช่าตึกพิพาทต่อไปตามเงื่อนไขและข้อสัญญาเดิมโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดโจทก์กลับฟ้องขับไล่จำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำพิพากษาและการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต: ข้ออ้างของจำเลยเป็นเรื่องบังคับคดี
จำเลยฎีกาอ้างว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทแล้วส่งคืนโจทก์แต่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ยอมรับคืน เพราะประสงค์จะได้ค่าเสียหายจากจำเลยอีกต่อไปนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาทคืนโจทก์ ข้ออ้างของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบทรัพย์สินหลังคำพิพากษา: ข้ออ้างการปฏิบัติตามคำพิพากษาและการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
จำเลยฎีกาอ้างว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทแล้วส่งคืนโจทก์แต่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ยอมรับคืน เพราะประสงค์จะได้ค่าเสียหายจากจำเลยอีกต่อไปนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาทคืนโจทก์ ข้ออ้างของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมสิทธิเช่า: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการโอนสิทธิเช่าระหว่างเจ้าของร่วมด้วยกัน
โจทก์และบุตรโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกันในสิทธิการเช่าตึกพิพาทโดยโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือสิทธิดังกล่าวแทน ต่อมาได้มีการโอนเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของ อ. เจ้าของร่วมอีกคนหนึ่ง ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เพราะทั้งโจทก์และ อ. ต่างเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินพิพาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมสิทธิเช่า ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการโอนสิทธิระหว่างเจ้าของร่วมด้วยกัน
โจทก์และบุตรโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกันในสิทธิการเช่าตึกพิพาทโดยโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือสิทธิดังกล่าวแทน ต่อมาได้มีการโอนเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของ อ. เจ้าของร่วมอีกคนหนึ่ง ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เพราะทั้งโจทก์และ อ. ต่างเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินพิพาท.