พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,443 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย แต่ต้องแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย หากเนื้อหาแจ้งชัดถึงข้อหาและคำขอ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะจากความสำคัญผิดในสิ่งสารสำคัญ ผู้ให้เช่าไม่มีอำนาจในทรัพย์สิน
โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2505ซึ่งโจทก์ก็รู้ดีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะให้ผู้อื่นเช่าตึกพิพาทนี้ได้ดังนั้น การที่โจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาหมาย จ.2 เมื่อพ.ศ. 2513 ความว่า จำเลยยอมออกไปจากตึกพิพาททั้งที่โจทก์รู้ดีว่าตึกพิพาทไม่ใช่ของตนและปกปิดความจริงไว้ เช่นนี้เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าการทำสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งสารสำคัญว่าตึกพิพาทที่จำเลยเช่าอยู่นั้นยังเป็นของโจทก์อยู่หากจำเลยรู้ความจริงนี้แล้วจำเลยย่อมจะไม่ทำสัญญากับโจทก์สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าโมฆะจากความสำคัญผิดในสาระสำคัญ ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิขับไล่
โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2505ซึ่งโจทก์ก็รู้ดีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะให้ ผู้อื่นเช่าตึกพิพาทนี้ได้ดังนั้น การที่โจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาหมาย จ.2 เมื่อ พ.ศ. 2513 ความว่า จำเลยยอมออกไปจากตึกพิพาททั้งที่โจทก์รู้ดีว่าตึกพิพาทไม่ใช่ของตนและปกปิดความจริงไว้ เช่นนี้เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าการทำสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งสารสำคัญว่าตึกพิพาทที่จำเลยเช่าอยู่นั้นยังเป็นของโจทก์อยู่ หากจำเลยรู้ความจริงนี้แล้ว จำเลยย่อมจะไม่ทำสัญญากับโจทก์สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าที่ดินสาธารณะ สัญญาประนีประนอมยอมความ และความรับผิดของผู้ลงชื่อสัญญา แม้บริษัทเลิกกิจการ
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของสวนลุมพินีซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกให้เป็นวนะสาธารณ์สำหรับประชาชน อยู่ในความดูแลรักษาของกรมนคราทร กระทรวงมหาดไทย เทศบาลนครกรุงเทพ โจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชนพักผ่อนหย่อนใจดังนั้นเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ย่อมมีสิทธิเอาที่พิพาทให้เช่าเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายปรับปรุงสวนลุมพินีให้อยู่ในสภาพเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมได้ ไม่ขัดพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496
จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นคู่สัญญาเช่ากับเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่มีการชำระบัญชีแต่ในการต่อสัญญาปีต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วก็ยังใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาเหล่านั้นในฐานะผู้จัดการและดำเนินกิจการค้าและใช้ที่ดินที่เช่าเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามวัตถุประสงค์เดิมตลอดมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาในปี 2513จำเลยที่ 2 ก็ได้ติดต่อกับโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่า และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และอาศัยชื่อจำเลยที่ 1เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำเลย ที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1 อยู่เช่นเดิม หาได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วไม่พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาปิดบังแอบอ้างอาศัยใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์เพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ 2 หรือเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เองดังนั้นแม้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้ว ก็ตามแต่สัญญานั้นก็ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นผู้ลงชื่อในสัญญานั้นจำเลยที่ 2 ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นคู่สัญญาเช่ากับเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่มีการชำระบัญชีแต่ในการต่อสัญญาปีต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วก็ยังใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาเหล่านั้นในฐานะผู้จัดการและดำเนินกิจการค้าและใช้ที่ดินที่เช่าเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามวัตถุประสงค์เดิมตลอดมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาในปี 2513จำเลยที่ 2 ก็ได้ติดต่อกับโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่า และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และอาศัยชื่อจำเลยที่ 1เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำเลย ที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1 อยู่เช่นเดิม หาได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วไม่พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาปิดบังแอบอ้างอาศัยใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์เพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ 2 หรือเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เองดังนั้นแม้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้ว ก็ตามแต่สัญญานั้นก็ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นผู้ลงชื่อในสัญญานั้นจำเลยที่ 2 ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจให้เช่าทรัพย์สาธารณะ & ความรับผิดของผู้ลงชื่อสัญญาแม้ห้างเลิก & เจตนาปิดบัง
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของสวนลุมพินีซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกให้เป็นวนะสาธารณ์สำหรับประชาชนอยู่ในความดูแลรักษาของกรมนคราทร กระทรวงมหาดไทย เทศบาลนครกรุงเทพ โจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชนพักผ่อนหย่อนใจดังนั้นเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ย่อมมีสิทธิเอาที่พิพาทให้เช่าเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายปรับปรุงสวนลุมพินีให้อยู่ในสภาพเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมได้ ไม่ขัดพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496
จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นคู่สัญญาเช่ากับเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่มีการชำระบัญชีแต่ในการต่อสัญญาปีต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วก็ยังใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาเหล่านั้นในฐานะผู้จัดการและดำเนินกิจการค้าและใช้ที่ดินที่เช่าเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามวัตถุประสงค์เดิมตลอดมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาในปี 2513 จำเลยที่ 2 ก็ได้ติดต่อกับโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่า และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และอาศัยชื่อจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1 อยู่เช่นเดิม หาได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วไม่พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาปิดบังแอบอ้างอาศัยใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์เพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ 2 หรือเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เองดังนั้นแม้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้วก็ตามแต่สัญญานั้นก็ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นผู้ลงชื่อในสัญญานั้นจำเลยที่ 2 ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นคู่สัญญาเช่ากับเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯ โดยไม่มีการชำระบัญชีแต่ในการต่อสัญญาปีต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วก็ยังใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาเหล่านั้นในฐานะผู้จัดการและดำเนินกิจการค้าและใช้ที่ดินที่เช่าเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามวัตถุประสงค์เดิมตลอดมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาในปี 2513 จำเลยที่ 2 ก็ได้ติดต่อกับโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่า และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และอาศัยชื่อจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1 อยู่เช่นเดิม หาได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าห้างฯ จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯแล้วไม่พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาปิดบังแอบอ้างอาศัยใช้ชื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์เพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ 2 หรือเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เองดังนั้นแม้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างฯ แล้วก็ตามแต่สัญญานั้นก็ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นผู้ลงชื่อในสัญญานั้นจำเลยที่ 2 ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2313/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าเดิมด้วยบันทึกเพิ่มเติม และสิทธิในการโอนสิทธิเช่าโดยมีค่าธรรมเนียม
สัญญาเช่าฉบับเดิมห้ามมิให้โอนสิทธิการเช่าหรือให้เช่าช่วงหรือให้ผู้อื่นเข้าครอบครองสถานที่เช่าก่อนได้รับอนุญาตจากจำเลยผู้ให้เช่าเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาโจทก์ (ผู้เช่า) กับจำเลยได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาเช่าฉบับเดิม โดยกำหนดข้อตกลงกันขึ้นใหม่ ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าได้โดยต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าเสียก่อนและในกรณีโอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่น นอกจากผู้สืบสันดานหรือบุตรของผู้สืบสันดานของผู้เช่าแล้วผู้เช่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนหรือการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าภายในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้แล้วแต่อัธยาศัยของผู้ให้เช่าดังนี้การที่โจทก์ (ผู้เช่า) ขอโอนสิทธิการเช่าให้นางน้อย แม้ให้นางน้อยเข้าอยู่ในสถานที่เช่าก่อนได้รับอนุญาต จึงไม่ผิดเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าเพิ่มเติม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2313/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าเดิมด้วยบันทึกเพิ่มเติม และการโอนสิทธิการเช่าตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
สัญญาเช่าฉบับเดิมห้ามมิให้โอนสิทธิการเช่า หรือให้เช่าช่วงหรือให้ผู้อื่นเข้าครอบครองสถานที่เช่าก่อนได้รับอนุญาตจากจำเลยผู้ให้เช่าเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาโจทก์(ผู้เช่า) กับจำเลยได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาเช่าฉบับเดิม โดยกำหนดข้อตกลงกันขึ้นใหม่ ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าได้โดยต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าเสียก่อนและในกรณีโอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่น นอกจากผู้สืบสันดานหรือบุตรของผู้สืบสันดานของผู้เช่าแล้วผู้เช่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน.หรือการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าภายในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้แล้วแต่อัธยาศัยของผู้ให้เช่า ดังนี้การที่โจทก์ (ผู้เช่า) ขอโอนสิทธิการเช่าให้นางน้อย แม้ให้นางน้อยเข้าอยู่ในสถานที่เช่าก่อนได้รับอนุญาต จึงไม่ผิดเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าเพิ่มเติม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งตัวแทนเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือ หากมิได้ทำ ตัวแทนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ตัวการ
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 หมายถึงกิจการใดที่ตัวแทนจะไปทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการ กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนไปทำกิจการนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย มิฉะนั้นกิจการที่ตัวแทนกระทำไปกับบุคคลภายนอกจะไม่สมบูรณ์ แต่ในระหว่างตัวแทนกับตัวการด้วยกัน ตัวแทนจะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 435/2507)
เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกับจำเลย (ตัวการ) ซึ่งแม้การตั้งโจทก์เป็นตัวแทนไปทำการเช่าบ้านพิพาทแทนจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ก็จะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้ และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท
เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกับจำเลย (ตัวการ) ซึ่งแม้การตั้งโจทก์เป็นตัวแทนไปทำการเช่าบ้านพิพาทแทนจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ก็จะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้ และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งตัวแทนเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือ หากมิได้ทำเป็นหนังสือ ตัวแทนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ตัวการ
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 หมายถึงกิจการใดที่ตัวแทนจะไปทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการกฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนไปทำกิจการนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย มิฉะนั้นกิจการที่ตัวแทนกระทำไปกับบุคคลภายนอกจะไม่สมบูรณ์ แต่ในระหว่างตัวแทนกับตัวการด้วยกัน ตัวแทนจะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 435/2507)
เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกับจำเลย (ตัวการ) ซึ่งแม้การตั้งโจทก์เป็นตัวแทนไปทำการเช่าบ้านพิพาทแทนจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ก็จะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้ และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท
เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกับจำเลย (ตัวการ) ซึ่งแม้การตั้งโจทก์เป็นตัวแทนไปทำการเช่าบ้านพิพาทแทนจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ก็จะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้ และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท