คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 537

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,443 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าที่ดินและการคุ้มครองตามพรบ.ควบคุมการเช่าเคหะฯ เมื่อมีการปลูกสร้างอาคารและให้เช่าต่อ
จำเลยเช่าที่ดินส่วนที่เป็นของ ร. ทั้งแปลงเพื่อปลูกสร้างอาคารจำเลยปลูกห้องแถวขึ้น 2 ห้องครึ่ง แม้จะมีเรือนเก่าปลูกอยู่แล้วครึ่งหลังเมื่อจำเลยใช้ที่แปลงนี้ปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมตามสัญญาเช่าแล้วหาประโยชน์โดยให้ผู้อื่นเช่าทำการค้า การเช่าที่ทั้งแปลงของจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504 จะแยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่ได้
เดิมบ้านปลูกอยู่กลางที่ดินของ ส. ส. ทำพินัยกรรมยกที่ดินให้ ร.และจำเลยคนละครึ่ง ส่วนบ้านยกให้จำเลย เมื่อ ส. ตายเกิดสภาพความเป็นเจ้าของที่ดินแยกกันส่วนหนึ่งของตัวบ้านรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของ ร. พินัยกรรมกำหนดให้ ร. ยอมให้จำเลยเช่าที่ส่วนของ ร.5 ปี ถ้าจำเลยยังรื้อบ้านออกไปไม่ได้ ก็ให้เช่าอีก 6 ปี เมื่อจำเลยและ ร. รับมรดกตามพินัยกรรมทั้งสองฝ่ายยังได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความว่าต่างฝ่ายยินยอมปฏิบัติ หน้าที่ตามพินัยกรรม และได้มีการจดทะเบียนการเช่าว่า จำเลยเช่าที่ดินเฉพาะส่วนของ ร. เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้ว ร. ให้จำเลยเช่าต่อตามสัญญาเดิม ดังนี้ กรณีไม่อยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 เพราะตามพินัยกรรมหรือสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนการทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าแสดงว่าจำเลยอยู่และปลูกสร้างห้องแถวในที่ดินของ ร. โดยอาศัยสิทธิการเช่าที่ดินจาก ร. มิใช่ ร. ยินยอมให้จำเลยปลูกหรือด้วยความประมาทเลินเล่อของ ร. ที่ปล่อยปละละเลยให้จำเลยปลูก จึงไม่อาจยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 มาขอให้บังคับเพื่อประโยชน์ของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: สิทธิการเช่า vs. การยินยอมให้ปลูกสร้าง และผลกระทบต่อการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่า
จำเลยเช่าที่ดินส่วนที่เป็นของ ร. ทั้งแปลงเพื่อปลูกสร้างอาคารจำเลยปลูกห้องแถวขึ้น 2 ห้องครึ่ง แม้จะมีเรือนเก่าปลูกอยู่แล้วครึ่งหลังเมื่อจำเลยใช้ที่แปลงนี้ปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมตามสัญญาเช่าแล้วหาประโยชน์โดยให้ผู้อื่นเช่าทำการค้า การเช่าที่ทั้งแปลงของจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504 จะแยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่ได้
เดิมบ้านปลูกอยู่กลางที่ดินของ ส. ส. ทำพินัยกรรมยกที่ดินให้ ร.และจำเลยคนละครึ่ง ส่วนบ้านยกให้จำเลย เมื่อ ส. ตายเกิดสภาพความเป็นเจ้าของที่ดินแยกกันส่วนหนึ่งของตัวบ้านรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของ ร. พินัยกรรมกำหนดให้ ร. ยอมให้จำเลยเช่าที่ส่วนของ ร.5 ปี ถ้าจำเลยยังรื้อบ้านออกไปไม่ได้ก็ให้เช่าอีก 6 ปี เมื่อจำเลยและ ร. รับมรดกตามพินัยกรรมทั้งสองฝ่ายยังได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความว่าต่างฝ่ายยินยอมปฏิบัติหน้าที่ตามพินัยกรรม และได้มีการจดทะเบียนการเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินเฉพาะส่วนของ ร. เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้ว ร. ให้จำเลยเช่าต่อตามสัญญาเดิม ดังนี้ กรณีไม่อยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 เพราะตามพินัยกรรมหรือสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนการทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าแสดงว่าจำเลยอยู่และปลูกสร้างห้องแถวในที่ดินของ ร. โดยอาศัยสิทธิการเช่าที่ดินจาก ร. มิใช่ ร. ยินยอมให้จำเลยปลูกหรือด้วยความประมาทเลินเล่อของ ร. ที่ปล่อยปละละเลยให้จำเลยปลูก จึงไม่อาจยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 มาขอให้บังคับเพื่อประโยชน์ของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าตึกสร้างยังไม่เสร็จ: จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบหากผู้รับเหมาไม่สร้างเสร็จ
จำเลยทำสัญญากับ ว.และท. ให้คนทั้งสองออกทุนทำการก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของจำเลย จำเลยยอมให้ผู้ก่อสร้างนำอาคารออกเรียกเงินกินเปล่า และจำเลยจะทำสัญญาให้เช่าแก่บุคคลที่ผู้รับก่อสร้างนำมา ต่อมาด้วยความยินยอมของ ว.และท. จำเลยนำอาคารที่กำลังก่อสร้างมาให้โจทก์เช่า เนื่องจาก ว.และท.ขาดเงินที่จะใช้ทำการก่อสร้างต่อไป ว.และท.จึงกู้เงินโจทก์ 200,000 บาท โจทก์เกี่ยงจะได้หลักประกัน ในที่สุดได้มีการโอนสิทธิการเช่าตึก 10 ห้องที่ยังสร้างไม่เสร็จให้โจทก์ โดยวิธีให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยโดยตรง การที่จำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยสัญญาระบุไว้ว่า เช่าตึกแถวที่กำลังก่อสร้าง เป็นการยืนยันให้เห็นว่าจำเลยไม่รับรู้ในเรื่องที่ว่าจะได้มีการก่อสร้างตึกให้แล้วเสร็จหรือไม่ ทั้งในสัญญาเช่าก็ไม่ได้ระบุว่าถ้าตึกสร้างไม่เสร็จจะมีผลประการใด การที่ตึกแถวสร้างไม่แล้วเสร็จ ไม่ใช่ความผิดของจำเลย โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดชอบในการก่อสร้างตึกเมื่อสัญญาเช่าระบุสถานะ 'กำลังก่อสร้าง' และการขาดเงินทุนของผู้รับเหมา
จำเลยทำสัญญากับ ว.และท. ให้คนทั้งสองออกทุนทำการก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของจำเลย. จำเลยยอมให้ผู้ก่อสร้างนำอาคารออกเรียกเงินกินเปล่า. และจำเลยจะทำสัญญาให้เช่าแก่บุคคลที่ผู้รับก่อสร้างนำมา. ต่อมาด้วยความยินยอมของ ว.และท.. จำเลยนำอาคารที่กำลังก่อสร้างมาให้โจทก์เช่า เนื่องจาก ว.และท.ขาดเงินที่จะใช้ทำการก่อสร้างต่อไป. ว.และท.จึงกู้เงินโจทก์ 200,000บาท. โจทก์เกี่ยงจะได้หลักประกัน. ในที่สุดได้มีการโอนสิทธิการเช่าตึก 10 ห้องที่ยังสร้างไม่เสร็จให้โจทก์. โดยวิธีให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยโดยตรง. การที่จำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยสัญญาระบุไว้ว่า เช่าตึกแถวที่กำลังก่อสร้าง. เป็นการยืนยันให้เห็นว่าจำเลยไม่รับรู้ในเรื่องที่ว่าจะได้มีการก่อสร้างตึกให้แล้วเสร็จหรือไม่. ทั้งในสัญญาเช่าก็ไม่ได้ระบุว่าถ้าตึกสร้างไม่เสร็จจะมีผลประการใด. การที่ตึกแถวสร้างไม่แล้วเสร็จ. ไม่ใช่ความผิดของจำเลย. โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าตึกสร้างไม่เสร็จ: จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายหากความผิดเกิดจากผู้รับเหมา
จำเลยทำสัญญากับ ว. และ ท. ให้คนทั้งสองออกทุนทำการก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของจำเลย จำเลยยอมให้ผู้ก่อสร้างนำอาคารออกเรียกเงินกินเปล่า และจำเลยจะทำสัญญาให้เช่าแก่บุคคลที่ผู้รับก่อสร้างนำมา ต่อมาด้วยความยินยอมของ ว. และ ท. จำเลยนำอาคารที่กำลังก่อสร้างมาให้โจทก์เช่า เนื่องจาก ว. และ ท. ขาดเงินที่จะใช้ทำการต่อสร้าง ว. และ ท. จึงกู้เงินโจทก์ 200,000 บาท โจทก์เกี่ยงจะได้หลักประกัน ในที่สุดได้มีการโอนสิทธิการเช่าตึก 10 ห้องที่ยังสร้างไม่เสร็จให้โจทก์ โดยวิธีให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยโดยตรง การที่จำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์โดยสัญญาระบุไว้ว่า เช่าตึกแถวที่กำลังก่อสร้าง เป็นการยืนยันให้เห็นว่าจำเลยไม่รับรู้ในเรื่องที่ว่า จะได้มีการก่อสร้างตึกให้แล้วเสร็จหรือไม่ ทั้งในสัญญาเช่าก็ไม่ได้ระบุว่าถ้าตึกสร้างไม่เสร็จจะมามีผลประการใด การที่ตึกแถวสร้างไม่เสร็จ ไม่ใช่ความผิดของจำเลย โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่สมบูรณ์ผลหากผู้รับโอนไม่สามารถทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกได้ สิทธิการเช่ากลับคืนแก่ผู้ให้เช่าเดิม
ผู้เช่าทำสัญญากับผู้รับโอน ยอมโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ผู้เช่ามีมติเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป โดยผู้รับโอนยอมจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เช่าจำนวนหนึ่งเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว เห็นเจตนาได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกให้ผู้รับโอนในเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันกันขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ มิใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่า
แม้ผู้เช่าจะมอบหมายให้ผู้รับโอนเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วงตึกได้ก่อนที่ผู้รับโอนจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก แต่เมื่อผู้รับโอนไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้เพราะเจ้าของตึกไม่ยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับโอน ทำให้สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่บังเกิดผล ดังนั้นการที่ผู้รับโอนเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง ย่อมมีผลเป็นเพียงกระทำแทนผู้เช่าเท่านั้น ผู้รับโอนจึงต้องมอบค่าเช่าช่วงทีเก็บไปคืนให้ผู้เช่า โดยหักค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นภาระในการเช่าออกเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่สมบูรณ์หากผู้รับโอนเข้าทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกไม่ได้ เงินค่าเช่าช่วงที่เก็บไปต้องคืน
ผู้เช่าทำสัญญากับผู้รับโอน ยอมโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ผู้เช่ามีมติเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป โดยผู้รับโอนยอมจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เช่าจำนวนหนึ่ง เมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว เห็นเจตนาได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกให้ผู้รับโอนในเมื่อผู้รับโอนทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันกันขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ มิใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่า
แม้ผู้เช่าจะมอบหมายให้ผู้รับโอนเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าตึกได้ก่อนที่ผู้รับโอนจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก แต่เมื่อผู้รับโอนไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้ เพราะเจ้าของตึกไม่ยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับโอน ทำให้สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่บังเกิดผล ดังนั้นการที่ผู้รับโอนเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง ย่อมมีผลเป็นเพียงกระทำแทนผู้เช่าเท่านั้น ผู้รับโอนจึงต้องมอบค่าเช่าช่วงที่เก็บไปคืนให้ผู้เช่า โดยหักค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นภาระในการเช่าออกเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่สมบูรณ์ผลหากผู้รับโอนไม่สามารถทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกได้ การเก็บค่าเช่าช่วงก่อนทำสัญญาเช่าถือเป็นการกระทำแทน
ผู้เช่าทำสัญญากับผู้รับโอน ยอมโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ผู้เช่ามีมติเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป. โดยผู้รับโอนยอมจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เช่าจำนวนหนึ่งเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว. เห็นเจตนาได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกให้ผู้รับโอนในเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว. ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันกันขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ. มิใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่า.
แม้ผู้เช่าจะมอบหมายให้ผู้รับโอนเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วงตึกได้ก่อนที่ผู้รับโอนจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก.แต่เมื่อผู้รับโอนไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้ เพราะเจ้าของตึกไม่ยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับโอน. ทำให้สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่บังเกิดผล. ดังนั้นการที่ผู้รับโอนเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง ย่อมมีผลเป็นเพียงกระทำแทนผู้เช่าเท่านั้น. ผู้รับโอนจึงต้องมอบค่าเช่าช่วงทีเก็บไปคืนให้ผู้เช่า โดยหักค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นภาระในการเช่าออกเสียก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มีนิติสัมพันธ์และอำนาจฟ้องขับไล่ จำเลยครอบครองก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่า
จำเลยครอบครองที่พิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของ แม้ต่อมาจำเลยจะขอเช่าจากเจ้าของและเจ้าของไม่ยอมให้เช่า จำเลยก็หาได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์ไม่ โจทก์จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิ ก็เป็นการละเมิดต่อเจ้าของ มิใช่ละเมิดต่อโจทก์ซึ่งยังมิได้รับมอบการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มีนิติสัมพันธ์และการละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
จำเลยครอบครองที่พิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของ. แม้ต่อมาจำเลยจะขอเช่าจากเจ้าของและเจ้าของไม่ยอมให้เช่า. จำเลยก็หาได้ครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์ไม่. โจทก์จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน. การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิ. ก็เป็นการละเมิดต่อเจ้าของ มิใช่ละเมิดต่อโจทก์ซึ่งยังมิได้รับมอบการครอบครอง. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย.
of 145