พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,443 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้เช่า: การซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า และความรับผิดตามสัญญา
ข้อความในสัญญาเช่าที่ว่า ผู้เช่ารับรองจะระวังรักษาทรัพย์ที่เช่าและซ่อมแซมทรัพย์ที่เช่าด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าเอง ให้อยู่ในสภาพที่ดีใช้การได้เสมอนั้น ไม่มีความหมายจะให้ผู้เช่าต้องรับผิดนอกเหนือไปจากที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เพราะในสัญญามิได้มีข้อความชัดเจนว่า ให้ผู้เช่าต้องรับผิดในทุกกรณีไป ฉะนั้นผู้เช่าจะต้องรับผิดก็แต่ในกรณีที่เป็นความผิดของตนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น
(อ้างฎีกาที่ 565/2497)
(อ้างฎีกาที่ 565/2497)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้เช่า: ข้อตกลงในสัญญาเช่าต้องสอดคล้องกับบทบัญญัติกฎหมาย
ข้อความในสัญญาเช่าที่ว่าผู้เช่ารับรองจะระวังรักษาทรัพย์ที่เช่าและซ่อมแซมทรัพย์ที่เช่าด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าเอง ให้อยู่ในสภาพที่ดีใช้การได้เสมอนั้นไม่มีความหมายจะให้ผู้เช่าต้องรับผิดนอกเหนือไปจากที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เพราะในสัญญามิได้มีข้อความชัดเจนว่าให้ผู้เช่าต้องรับผิดในทุกกรณีไปฉะนั้น ผู้เช่าจะต้องรับผิดก็แต่ในกรณีที่เป็นความผิดของตนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น
(อ้างฎีกาที่ 565/2497)
(อ้างฎีกาที่ 565/2497)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าเพื่อการค้า: การใช้ห้องพิพาทเพื่อการค้าทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมเช่าเคหะฯ แม้มีการอยู่อาศัยร่วมด้วย
สัญญาเช่าที่จำเลยทำกับโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่า'เพื่อทำการค้า' เมื่อจำเลยทำการค้า จดทะเบียนการค้าเสียภาษีการค้า ห้องพิพาทจะอยู่ในทำเลการค้าหรือไม่การค้าของจำเลยจะเล็กน้อยเพียงใดก็ไม่สำคัญและแม้จำเลยจะอยู่อาศัยในห้องพิพาทด้วยก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าดังนี้ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องพิพาทโดยเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 30 บาท แต่มีเงื่อนไขตกลงกันอีกว่า การเสียค่าเช่าถ้าเทศบาลประเมินภาษีขึ้นจะต้องขึ้นค่าเช่าตามนั้นต่อมาเทศบาลได้ประเมินค่าเช่าเดือนละ 100 บาทดังนี้ ย่อมถือว่าข้อตกลงขึ้นค่าเช่าตามที่เทศบาลประเมินภาษีนั้นเป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยกฎหมายใช้บังคับได้
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องพิพาทโดยเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 30 บาท แต่มีเงื่อนไขตกลงกันอีกว่า การเสียค่าเช่าถ้าเทศบาลประเมินภาษีขึ้นจะต้องขึ้นค่าเช่าตามนั้นต่อมาเทศบาลได้ประเมินค่าเช่าเดือนละ 100 บาทดังนี้ ย่อมถือว่าข้อตกลงขึ้นค่าเช่าตามที่เทศบาลประเมินภาษีนั้นเป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยกฎหมายใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาเช่า, การไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะฯ จากการเปลี่ยนวัตถุประสงค์การเช่า, และสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้ห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าและให้เช่าช่วงกับผิดนัดชำระค่าเช่าสองคราวติดกัน เพื่อแสดงว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ถือว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
จำเลยให้การว่าได้เช่าตึกแถวรายพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายถือได้ว่าจำเลยได้อ้างสิทธิตามกฎหมายพิเศษคือ พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แล้ว
ผู้มีชื่อเช่าที่ดินโจทก์เพื่อสร้างตึกแถวให้คนเช่ามีกำหนดเวลาแล้วยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กรรมสิทธิ์ในตึกแถวตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องทำพิธีจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีกและเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเช่าตึกแถวรายพิพาทเป็นที่ผลิตสินค้าสำหรับจำหน่ายภายหลังต่อมาได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่อย่างเดียวเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเช่าโดยผู้ให้เช่ามิได้ยินยอมด้วยตึกแถวรายพิพาทจึงไม่เป็นเคหะควบคุม ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ
จำเลยให้การว่าได้เช่าตึกแถวรายพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายถือได้ว่าจำเลยได้อ้างสิทธิตามกฎหมายพิเศษคือ พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แล้ว
ผู้มีชื่อเช่าที่ดินโจทก์เพื่อสร้างตึกแถวให้คนเช่ามีกำหนดเวลาแล้วยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กรรมสิทธิ์ในตึกแถวตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องทำพิธีจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีกและเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเช่าตึกแถวรายพิพาทเป็นที่ผลิตสินค้าสำหรับจำหน่ายภายหลังต่อมาได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่อย่างเดียวเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเช่าโดยผู้ให้เช่ามิได้ยินยอมด้วยตึกแถวรายพิพาทจึงไม่เป็นเคหะควบคุม ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในตึกแถว, การใช้ตึกแถวผิดวัตถุประสงค์, สัญญาเช่าสิ้นสุด, การบอกเลิกสัญญาเช่า, สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้ห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าและให้เช่าช่วง กับผิดนัดชำระค่าเช่าสองคราวติดกัน เพื่อแสดงว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ถือว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
จำเลยให้การว่าได้เช่าตึกแถวให้คนเช่ามีกำหนดเวลา แล้วยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กรรมสิทธิ์ในตึกแถวตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องทำพิธีจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก และเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเช่าตึกแถวรายพิพาทเป็นที่ผลิตสินค้าสำหรับจำหน่าย ภายหลังต่อมาได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่อย่างเดียว เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเช่าโดยผู้ให้เช่ามิได้ยินยอมด้วย ตึกแถวรายพิพาทจึงไม่เป็นเคหะควบคุม ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ
จำเลยให้การว่าได้เช่าตึกแถวให้คนเช่ามีกำหนดเวลา แล้วยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กรรมสิทธิ์ในตึกแถวตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องทำพิธีจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก และเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเช่าตึกแถวรายพิพาทเป็นที่ผลิตสินค้าสำหรับจำหน่าย ภายหลังต่อมาได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่อย่างเดียว เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเช่าโดยผู้ให้เช่ามิได้ยินยอมด้วย ตึกแถวรายพิพาทจึงไม่เป็นเคหะควบคุม ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045-1049/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเช่าและผลกระทบเมื่อผู้โอนผิดสัญญาเช่าเดิม ผู้รับเช่ามีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าล่วงหน้าคืนได้
การโอนอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้เช่าอยู่ ซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 569 นั้น ผู้โอนต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและโอนกรรมสิทธิ์ในขณะที่มีสัญญาเช่าผูกพันอยู่ด้วย ผู้รับโอนจึงจะรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้น
สัญญาที่เจ้าของที่ดินให้จำเลยเช่าที่ดินปลูกตึก และให้ตึกตกเป็นของเจ้าของที่ดินตั้งแต่สร้างตึกเสร็จ โดยจำเลยมีสิทธิครอบครองและให้เช่าช่วงต่อไปได้นั้น เมื่อจำเลยทำผิดสัญญาจนเจ้าของที่ดินใช้สิทธิเข้าครอบครองตีกเสียแล้ว เจ้าของที่ดินจึงหาใช่ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตึกซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา 569 ไม่
เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากตึกที่เช่าอันเป็นการผิดสัญญาเช่าต่อโจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าไปแล้วคืนจากจำเลยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2507)
สัญญาที่เจ้าของที่ดินให้จำเลยเช่าที่ดินปลูกตึก และให้ตึกตกเป็นของเจ้าของที่ดินตั้งแต่สร้างตึกเสร็จ โดยจำเลยมีสิทธิครอบครองและให้เช่าช่วงต่อไปได้นั้น เมื่อจำเลยทำผิดสัญญาจนเจ้าของที่ดินใช้สิทธิเข้าครอบครองตีกเสียแล้ว เจ้าของที่ดินจึงหาใช่ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตึกซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา 569 ไม่
เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากตึกที่เช่าอันเป็นการผิดสัญญาเช่าต่อโจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าไปแล้วคืนจากจำเลยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045-1048/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาเช่าอยู่ การรับโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนเมื่อผู้โอนหมดสิทธิในทรัพย์สิน
การโอนอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้เช่าอยู่ ซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 นั้น ผู้โอนต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และโอนกรรมสิทธิ์ในขณะที่มีสัญญาเช่าผูกพันอยู่ด้วย ผู้รับโอนจึงจะรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้น
สัญญาที่เจ้าของที่ดินให้จำเลยเช่าที่ดินปลูกตึกและให้ตึกตกเป็นของเจ้าของที่ดิน ตั้งแต่สร้างตึกเสร็จโดยจำเลยมีสิทธิครอบครองและให้เช่าช่วงต่อไปได้นั้นเมื่อจำเลยทำผิดสัญญา จนเจ้าของที่ดินใช้สิทธิเข้าครอบครองตึกเสียแล้ว เจ้าของที่ดินจึงหาใช่ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตึกซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 569 ไม่
เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากตึกที่เช่าอันเป็นการผิดสัญญาเช่าต่อโจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าไปแล้วคืนจากจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2507)
สัญญาที่เจ้าของที่ดินให้จำเลยเช่าที่ดินปลูกตึกและให้ตึกตกเป็นของเจ้าของที่ดิน ตั้งแต่สร้างตึกเสร็จโดยจำเลยมีสิทธิครอบครองและให้เช่าช่วงต่อไปได้นั้นเมื่อจำเลยทำผิดสัญญา จนเจ้าของที่ดินใช้สิทธิเข้าครอบครองตึกเสียแล้ว เจ้าของที่ดินจึงหาใช่ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตึกซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 569 ไม่
เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากตึกที่เช่าอันเป็นการผิดสัญญาเช่าต่อโจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าไปแล้วคืนจากจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายฝากเรือนบนที่ดินเช่า: สิทธิของผู้ซื้อและนิติสัมพันธ์กับผู้ให้เช่า
เช่าที่ดินปลูกเรือน ต่อมาผู้เช่าได้ขายฝากเรือนแม้ผู้ให้เช่าทำหนังสือยินยอมในการขายฝาก เรือนหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้ซื้อ ผู้เช่าออกจากเรือนไปผู้ซื้อเข้าอยู่แทนและได้ชำระค่าเช่าให้ผู้ให้เช่าแต่ผู้ให้เช่ายังคงออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าให้ในนามของผู้เช่าคนเดิมเช่นนี้ ถือว่าผู้ซื้อยังไม่มีนิติสัมพันธ์กับผู้ให้เช่าที่ดิน ผู้ซื้อจะอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การเช่าจากที่อยู่อาศัยเป็นเชิงพาณิชย์ ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
แม้ในชั้นแรก ผู้เช่าจะใช้ตึกพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อผู้เช่าได้ใช้ตึกพิพาทเป็นที่ประกอบการค้าแล้วผู้เช่าย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าเคหะและที่ดินฯและโดยที่เรื่องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลจึงย่อมวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า: ผู้จัดการทรัพย์สินมีอำนาจฟ้องได้แม้มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ หากผู้เช่ายินยอมทำสัญญา
การเช่านั้น ผู้ให้เช่าหาจำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่านั้นไม่เมื่อจำเลยยินยอมทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะที่เป็นผู้ให้เช่าตามสัญญาเช่านั้นเมื่อโจทก์เห็นว่า จำเลยทำผิดสัญญาเช่า โจทก์ผู้ให้เช่าก็ย่อมมีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยผู้เช่าได้ในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับจำเลย จำเลยจะโต้แย้งอำนาจของผู้ให้เช่าที่ตนยินยอมทำสัญญาด้วยนั้นหาได้ไม่
ที่ธรณีสงฆ์วัดจันทรสโมสรได้มอบให้กรมการศาสนาโจทก์เป็นผู้จัดการดูแลหาผลประโยชน์ให้แก่วัดมานานแล้ว และกรมการศาสนาโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าที่นั้นตลอดมาดังนี้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่ากับกรมการศาสนาโจทก์โดยตรง จะเถียงสิทธิของกรมการศาสนาโจทก์ในเรื่องอำนาจฟ้องหาได้ไม่
ที่ธรณีสงฆ์วัดจันทรสโมสรได้มอบให้กรมการศาสนาโจทก์เป็นผู้จัดการดูแลหาผลประโยชน์ให้แก่วัดมานานแล้ว และกรมการศาสนาโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าที่นั้นตลอดมาดังนี้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่ากับกรมการศาสนาโจทก์โดยตรง จะเถียงสิทธิของกรมการศาสนาโจทก์ในเรื่องอำนาจฟ้องหาได้ไม่