พบผลลัพธ์ทั้งหมด 20 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงลายมือชื่อในเอกสารรับทราบหนี้ ไม่ถือเป็นความร่วมกระทำความผิด พ.ร.บ.เช็ค หากไม่มีส่วนร่วมในการออกเช็ค
แม้บันทึกการชำระค่าสินค้า มีข้อความว่า บริษัทจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและในฐานะส่วนตัวได้ชำระค่าสินค้าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งที่ยัง ค้างชำระให้แก่บริษัทโจทก์โดยชำระเป็นเช็ค 5 ฉบับ ตามที่ ระบุไว้ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย และท้ายบันทึกมีลายมือชื่อ จำเลยที่ 3 ลงไว้ในช่องผู้ทำบันทึกพร้อมประทับตราสำคัญของ จำเลยที่ 1 และตามใบสำคัญการจ่ายมีข้อความระบุว่าเป็นใบสำคัญ การจ่ายของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ชำระค่าสินค้าบางส่วนโดย เช็คพิพาทให้แก่บริษัทโจทก์ ซึ่งตอนท้ายเอกสารมีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ก็ตาม เอกสารดังกล่าวก็เป็นแต่เพียงบันทึกที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ยอมรับว่า เป็นหนี้โจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คชำระหนี้โจทก์ จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วยเท่านั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวโดยจำเลยที่ 3ไม่มีส่วนร่วมในการออกเช็คพิพาท ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็ค พ.ศ. 2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงลายมือชื่อรับสภาพหนี้ ไม่ถือเป็นความผิด พ.ร.บ. เช็ค หากไม่มีส่วนร่วมออกเช็ค
แม้บันทึกการชำระค่าสินค้า มีข้อความว่า บริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและในฐานะส่วนตัวได้ชำระค่าสินค้าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งที่ยังค้างชำระให้แก่บริษัทโจทก์โดยชำระเป็นเช็ค 5 ฉบับ ตามที่ระบุไว้ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วย และท้ายบันทึกมีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ลงไว้ในช่องผู้ทำบันทึกพร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 และตามใบสำคัญการจ่ายมีข้อความระบุว่าเป็นใบสำคัญการจ่ายของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ชำระค่าสินค้าบางส่วนโดยเช็คพิพาทให้แก่บริษัทโจทก์ ซึ่งตอนท้ายเอกสารมีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ก็ตาม เอกสารดังกล่าวก็เป็นแต่เพียงบันทึกที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คชำระหนี้โจทก์จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีเช็คพิพาทรวมอยู่ด้วยเท่านั้น การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวโดยจำเลยที่ 3ไม่มีส่วนร่วมในการออกเช็คพิพาท ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: การพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่รู้เห็นและสนับสนุนการกระทำผิด
จำเลยที่4ถึงที่7ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3ว่าจ้างผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างไปส่งที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุจำเลยที่3ซึ่งนั่งรวมอยู่กับจำเลยที่4ถึงที่7ด้านหลังลงมาช่วยจำเลยที่1และที่2ปลดทรัพย์ผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่5ถึงที่7ได้ในลักษณะที่ตัวจำเลยที่5ถึงที่7เปรอะเปื้อนและเปียกส่วนจำเลยที่4ตามจับได้ตามคำซัดทอดของผู้ถูกจับได้ก่อนขณะเกิดเหตุจำเลยที่4ถึงที่7ไม่ห้ามปรามจำเลยที่1ถึงที่3ทั้งยังแยกย้ายกันหลบหนีพยานหลักฐานโจทก์ฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งหมดฟังได้ว่าจำเลยที่4ถึงที่7ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: การกระทำที่สนับสนุนและร่วมกระทำความผิด
จำเลยที่4ถึงที่7ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3ว่าจ้างผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างไปส่งที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุจำเลยที่3ซึ่งนั่งรวมอยู่กับจำเลยที่4ถึงที่7ด้านหลังลงมาช่วยจำเลยที่1และที่2ปลดทรัพย์ผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่5ถึงที่7ได้ในลักษณะที่ตัวจำเลยที่5ถึงที่7เปรอะเปื้อนและเปียกส่วนจำเลยที่4ตามจับได้ตามคำซัดทอดของผู้ถูกจับได้ก่อนขณะเกิดเหตุจำเลยที่4ถึงที่7ไม่ห้ามปรามจำเลยที่1ถึงที่3ทั้งยังแยกย้ายกันหลบหนีพยานหลักฐานโจทก์ฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งหมดฟังได้ว่าจำเลยที่4ถึงที่7ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: การพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ให้ความช่วยเหลือและหลบหนี
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่าจ้างผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างไปส่งที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3ซึ่งนั่งรวมอยู่กับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ด้านหลังลงมาช่วยจำเลยที่ 1และที่ 2 ปลดทรัพย์ผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ได้ ในลักษณะที่ตัวจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7เปรอะเปื้อนและเปียก ส่วนจำเลยที่ 4 ตามจับได้ตามคำซัดทอดของผู้ถูกจับได้ก่อน ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ไม่ห้ามปรามจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้งยังแยกย้ายกันหลบหนี พยานหลักฐานโจทก์ฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งหมดฟังได้ว่าจำเลยที่ 4ถึงที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันปล้นทรัพย์: การกระทำโดยสนับสนุนและไม่ห้ามปราม
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่าจ้างผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างไปส่งที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ซึ่งนั่งรวมอยู่กับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ด้านหลังลงมาช่วยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปลดทรัพย์ผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ได้ ในลักษณะที่ตัวจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เปรอะเปื้อนและเปียก ส่วนจำเลยที่ 4 ตามจับได้ตามคำซัดทอดของผู้ถูกจับได้ก่อน ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ไม่ห้ามปรามจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ทั้งยังแยกย้ายกันหลบหนี พยานหลักฐานโจทก์ฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งหมดฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานใช้แรงงานเด็ก ต้องพิสูจน์ว่านายจ้างรู้ถึงอายุที่แท้จริงของเด็ก
การที่นายจ้างจะมีความผิดฐานรับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า13ปีบริบูรณ์เข้าทำงานอันเป็นการใช้แรงงานเด็กตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่10)ข้อ20ซึ่งออกตามความในข้อ2(3)แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่103ลงวันที่16มีนาคม2515ต้องได้ความว่านายจ้างรู้ว่าเด็กที่ตนรับเป็นลูกจ้างอายุต่ำกว่า13ปีบริบูรณ์ซึ่งโจทก์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่านายจ้างผู้รับเด็กเข้าทำงานรู้เช่นนั้นเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้นายจ้างก็ไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานใช้แรงงานเด็ก: นายจ้างต้องรู้ว่าลูกจ้างอายุต่ำกว่า 13 ปี
การที่นายจ้างจะมีความผิดฐานรับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 13 ปีบริบูรณ์เข้าทำงานอันเป็นการใช้แรงงานเด็ก ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 10) ข้อ 20 ซึ่งออกตามความในข้อ 2 (3) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ต้องได้ความว่านายจ้างรู้ว่าเด็กที่ตนรับเป็นลูกจ้างอายุต่ำกว่า 13 ปีบริบูรณ์ ซึ่งโจทก์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่านายจ้างผู้รับเด็กเข้าทำงานรู้เช่นนั้น เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ นายจ้างก็ไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจรต้องพิสูจน์เจตนา 'รู้' ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา การซื้อขายในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ถือเป็นพฤติการณ์บ่งชี้เจตนา
คดีรับของโจรแม้จะฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อทรัพย์ของกลางของผู้เสียหายไว้ โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า จำเลยรับซื้อทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา การที่โจทก์เพียงแต่นำสืบว่า อ. ลักรถจักรยานของผู้เสียหายไปขายให้แก่จำเลยและรถจักรยานของกลางของผู้เสียหายมีราคา 1,900 บาท จำเลยรับซื้อไว้ในราคา 370 บาท แต่ก็ไม่ได้ความว่ารถจักรยานของผู้เสียหายซื้อมานานเท่าใด และมีสภาพเก่าใหม่อย่างไร ที่จำเลยรับซื้อในราคา370 บาทนั้น เป็นราคาที่สมควรหรือไม่อย่างใด ทั้งไม่ได้ความว่าได้พบรถจักรยานที่จำเลยรับซื้อไว้ในลักษณะมีการปิดบังซ่อนเร้นหรือไม่อย่างไร จึงไม่มีพฤติการณ์ใดที่แสดงว่า จำเลยรับซื้อรถจักรยานไว้โดยรู้ว่าเป็นรถจักรยานที่ถูกลักมา พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังรับฟังลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจรต้องพิสูจน์เจตนา 'รู้' ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา ราคาซื้อขายที่แตกต่างอย่างมากไม่เพียงพอที่จะสรุปได้
คดีรับของโจรแม้จะฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อทรัพย์ของกลางของผู้เสียหายไว้ โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า จำเลยรับซื้อทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา การที่โจทก์เพียงแต่นำสืบว่า อ. ลักรถจักรยานของผู้เสียหายไปขายให้แก่จำเลยและรถจักรยานของกลางของผู้เสียหายมีราคา 1,900 บาท จำเลยรับซื้อไว้ในราคา 370 บาท แต่ก็ไม่ได้ความว่ารถจักรยานของผู้เสียหายซื้อมานานเท่าใด และมีสภาพเก่าใหม่อย่างไร ที่จำเลยรับซื้อในราคา370 บาทนั้น เป็นราคาที่สมควรหรือไม่อย่างใด ทั้งไม่ได้ความว่าได้พบรถจักรยานที่จำเลยรับซื้อไว้ในลักษณะมีการปิดบังซ่อนเร้นหรือไม่อย่างไร จึงไม่มีพฤติการณ์ใดที่แสดงว่า จำเลยรับซื้อรถจักรยานไว้โดยรู้ว่าเป็นรถจักรยานที่ถูกลักมา พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังรับฟังลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้.