พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,570 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาทุนรัฐบาลต่างประเทศ: การชดใช้ทุนเมื่อลาออกก่อนครบกำหนด และการกำหนดเบี้ยปรับ
จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์โดยทำสัญญากับกรมอาชีวศึกษาว่า เมื่อเสร็จการศึกษาไม่ว่าการศึกษาจะสำเร็จหรือไม่ จำเลยที่ 1 จะกลับมารับราชการในกรมอาชีวศึกษาหรือในกระทรวง ทบวง กรม อื่น ตามที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของเวลาที่ได้รับทุน ถ้าผิดสัญญาจำเลยที่ 1จะชดใช้คืนทุนและเงินที่ได้รับในระหว่างการศึกษาพร้อมเบี้ยปรับเมื่อจำเลยที่ 1 กลับมารับราชการต่อแล้วลาออกจากราชการในขณะที่รับราชการชดใช้ทุนไม่ครบตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ผิดนัดแม้ภายหลังจำเลยที่ 1 จะกลับเข้ารับราชการใหม่แต่โจทก์ก็มิได้ยินยอมให้จำเลยเข้ารับราชการเพื่อชดใช้ทุนต่อ จึงไม่อาจนับเวลาราชการต่อกันเพื่อชดใช้ทุนตามสัญญาได้ จำเลยที่ 1 ไม่หลุดพ้นความรับผิด จำเลยที่ 1 กลับเข้ารับราชการใหม่เป็นเวลามากกว่าเวลาราชการที่ยังขาดตามสัญญาเกือบเท่าตัว เมื่อคำนึงถึงเวลาราชการที่ขาดและเวลาราชการที่จำเลยที่ 1 เข้ารับราชการใหม่ประกอบกับทางได้เสียของโจทก์แล้ว ศาลไม่กำหนดเบี้ยปรับให้ ตามสัญญาระบุว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินที่ต้องชำระคืนและเบี้ยปรับแก่โจทก์ ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ยอมให้คิดดอกเบี้ยจากเงินนั้น เมื่อโจทก์เคยแจ้งให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแล้วแต่ไม่พบตัวจำเลยที่ 1 และภายหลังที่โจทก์รับจำเลยที่ 1 เข้ารับราชการใหม่ โจทก์มีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยที่ 1 แต่ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งจากโจทก์แล้วเมื่อใด จึงชอบที่จะให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ปัญหาการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศเป็นเงินไทยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดให้ถูกต้องโดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ศาลฎีกาพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันการศึกษาต่อต่างประเทศ: การขยายเวลาศึกษา, ภาระของผู้ค้ำประกัน, และการลดค่าเสียหาย
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ระบุระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ ก็มิได้ระบุเวลาที่จำเลยที่ 1ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อเช่นกัน ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเวลา 2 ปี ครบแล้วโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่ออีกเป็นเวลา 4 ปีเศษ โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ และจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอมแม้จะเป็นภาระหนักขึ้นแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน แต่ก็ไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงในสัญญาและเป็นคนละเรื่องกับการที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะต้องคืนเงินเดือนเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพและต้องเสียเบี้ยปรับอีกเท่ากับเงินทั้งหมดที่รับไปกับจะต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับเงินต้นรวมกับเบี้ยปรับตามสัญญาด้วยนั้น เบี้ยปรับและดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่ระบุความเสียหายหรือความรับผิดในการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วนก็มีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของจำเลยที่ 1 และประโยชน์แก่โจทก์โดยส่วนรวมแต่ฝ่ายเดียวมีเหตุผลควรได้รับความเห็นใจ พิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน สมควรลดเบี้ยปรับให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง เมื่อกำหนดเบี้ยปรับเป็นค่าเสียหายจำนวนพอสมควรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอีก เงินเดือนเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงินโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา ก็เป็นหนี้ร่วมกันจะแบ่งแยกกันมิได้ จำเลยที่ 1 ย่อมได้รับผลเป็นคุณด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการชำระหนี้ก่อนล้มละลายเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้รายอื่น ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 115
ศาลนัดสืบพยานผู้คัดค้านรวม 6 นัด ผู้คัดค้านไม่เคยมาศาลเลย ได้สืบพยานผู้คัดค้านคือทนายผู้คัดค้านได้เพียงปากเดียวในนัดที่ 2 ส่วนนัดแรกและนัดที่ 3 ถึงนัดที่ 6 ทนายผู้คัดค้านขอเลื่อนคดี 4 นัดติดต่อกัน ถือได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาประวิงคดี การที่ลูกหนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านในระหว่างระยะ 3 เดือน ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย โดยที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้รายอื่นอีกจำนวนมากซึ่งขอรับชำระหนี้ไว้ในคดีนี้ถึง 15 ราย การชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 115 ศาลให้เพิกถอนการชำระหนี้ได้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านรับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตหรือไม่ การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ระหว่างที่ศาลยังมิได้พิพากษาให้เพิกถอนการชำระหนี้ถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบ ยังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดตั้งแต่วันยื่นคำร้อง สิทธิเรียกดอกเบี้ยเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และถือว่าเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกัน - ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในดอกเบี้ยตามสัญญาตัวแทนจำหน่าย แม้ในหนังสือค้ำประกันจะไม่ได้ระบุ
การเวนคืนหนังสือค้ำประกันซึ่งเป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ ซึ่งเข้าข้อสันนิษฐาน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 327 ว่าหนี้เป็นอันระงับสิ้นไปนั้น มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดย่อมฟังตามข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นตามที่ปรากฏนั้นได้เมื่อจำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระหนี้เงินค่าจำหน่ายปุ๋ยที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันและหนี้ยังไม่ระงับไปด้วยเหตุประการอื่น จำเลยที่ 3ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ดังกล่าว แม้จำเลยที่ 3 ได้ยกเลิกหนังสือค้ำประกันและคืนหลักประกันที่จำเลยที่ 1 ให้ไว้ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 และไม่อาจไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องต้องว่ากล่าวกันต่างหากต่อไป หาได้เกี่ยวข้องกับการหลุดพ้นจากความรับผิดของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันแต่อย่างใดไม่ การที่จำเลยที่ 3 ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ในการที่จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยให้โจทก์ และสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ก็ระบุความรับผิดกรณีผิดเงื่อนไขและกำหนดเรื่องดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินให้แก่โจทก์ แม้ในหนังสือค้ำประกันมิได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยไว้ แต่หนังสือค้ำประกันก็อ้างถึงสัญญาตัวแทนด้วย จำเลยที่ 3 ยอมออกหนังสือค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีถึงข้อสัญญาและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาตัวแทนจำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ต้นเงินแทนจำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 401/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนการชำระหนี้ก่อนล้มละลาย: การชำระหนี้ภายใน 3 เดือนก่อนล้มละลายโดยมีเจตนาให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ที่จำเลยชำระให้แก่ผู้คัดค้าน ตามความในมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยอ้างว่าเป็นการชำระหนี้ภายใน 3 เดือน ก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลาย โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเพียงว่า ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้โดยสุจริตและโจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้เพราะให้จำเลยกู้ยืมโดยรู้อยู่ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว มิได้คัดค้านว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเกินกว่า3 เดือน ก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลายและมิได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน จึงไม่มีสิทธินำสืบในประเด็นดังกล่าว เมื่อผู้ร้องนำสืบได้ความตามคำร้องแล้ว คดีจึงวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไป เพราะข้อต่อสู้ของผู้คัดค้านที่ว่า ได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตก็ดี โจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้ก็ดี หาได้เป็นข้อสาระสำคัญในการพิจารณาเพิกถอนการโอนหรือการกระทำของจำเลยตามความในมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลายฯ ไม่ การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษาตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการชำระหนี้หลังล้มละลาย: การได้เปรียบเสียเปรียบเจ้าหนี้และการคิดดอกเบี้ย
จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้วโดยจำเลยทราบดีว่าตนยังเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นและมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ได้ การชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นไปตามสัญญาก็เป็นเหตุให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น แม้จำเลยจะชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายอื่นด้วย แต่จำนวนที่ชำระหนี้ไม่เสมอภาคกัน ถือว่าการชำระหนี้แต่ละราย เป็นเหตุให้เจ้าหนี้แต่ละคนได้เปรียบเสียเปรียบกัน การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาตราบใดยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังเป็นการชำระหนี้โดยชอบ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้แต่งทนายความแก้ฎีกาศาลฎีกาย่อมไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการชำระหนี้หลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และล้มละลาย: การได้เปรียบเสียเปรียบของเจ้าหนี้
ขณะที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านทั้ง 3 ครั้งนั้นจำเลยย่อมทราบได้ว่า จำเลยยังเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 4 รายจำนวนมากน้อยเท่าใดและมีทรัพย์สินไม่พอที่จะชำระหนี้ได้ ทั้งนี้เพราะจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้วดังนั้น เมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน จึงทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่ผู้คัดค้านอ้างเหตุว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ ด้วย และการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเป็นไปตามสัญญาไม่อาจรับฟังได้ เพราะแม้จำเลยชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายอื่นด้วยแต่จำนวนที่ชำระหนี้ไม่เสมอภาคกัน ถือว่าการชำระหนี้แต่ละราย เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน คำร้องขอเพิกถอนการชำระหนี้มีการพิมพ์ผิดพลาดเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่ศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เท่านั้น ส่วนข้อความอื่นถูกต้องบริบูรณ์ ข้อผิดพลาดดังกล่าวหาใช่สาระสำคัญไม่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ผู้คัดค้านเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะการเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ ถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้อง ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ คดีล้มละลายเป็นคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกประเภทสินค้าเพื่อเสียอากร: หีบใส่เงินจัดอยู่ในพิกัดอัตราอากรใด และความรับผิดของหุ้นส่วน
พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า ตอนที่ 83 ประเภทพิกัดที่ 83.03 ระบุว่าตู้นิรภัยกำปั่นห้องนิรภัย ที่หุ้มหรือเสริมให้มั่นคง ผนังด้านต่าง ๆ ที่ใช้บุห้องนิรภัยและประตูห้องนิรภัย หีบใส่เงินและหีบเก็บเอกสารและสิ่งที่คล้ายกันทำด้วยโลหะสามัญ ลักษณะของตามประเภทพิกัดนี้เห็นได้ว่าล้วนแต่เป็นของที่มีลักษณะมั่นคงแข็งแรงทั้งสิ้น ดังนั้นหีบใส่เงินที่จะจัดเข้าพิกัดประเภทนี้ได้ต้องมีลักษณะมั่นคงแข็งแรงขนาดใหญ่น้ำหนักมากการขนย้ายเคลื่อนที่จะกระทำได้ยากลำบากทั้งจะต้องกันไฟหรือกันโจรกรรมได้ด้วย หีบใส่เงินที่จำเลยนำเข้ามีลักษณะไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่อาจป้องกันไฟหรือการโจรกรรมได้เลยไม่เหมือนกับของต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในประเภทพิกัดดังกล่าวแต่จัดเป็นของใช้ในบ้านเรือนทำด้วยเหล็กตามประเภทพิกัดที่ 73.38ข. แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แต่ปรากฏจากใบขนสินค้าขาเข้าว่า จำเลยที่ 2 ลงชื่อในช่องผู้นำเข้าแทนจำเลยที่ 1 และระบุไว้ด้วยว่าเป็นผู้จัดการ ถือได้ว่าเป็นการสอดเข้าไปจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย พ.ร.บ.ศุลกากรและ ป.รัษฎากรบัญญัติให้เรียกเงินเพิ่มของค่าอากรขาเข้าและของเงินภาษีที่ต้องชำระ แต่มิให้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามลำดับซึ่งเป็นทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าภาษีอากรที่ค้างไว้โดยเฉพาะและโจทก์ได้คำนวณเงินเพิ่มดังกล่าวจนครบถ้วนมาในฟ้องแล้ว จึงจะนำ ป.พ.พ. มาตรา 224ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับจำเลยอีกหาได้ไม่โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยของเงินอากรขาเข้า ภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่ม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดี, หนังสือมอบอำนาจ, ดอกเบี้ยผิดสัญญา, และดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
หนังสือมอบอำนาจระบุให้อำนาจ ช. มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์แม้จะมิได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงช.ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองแทนโจทก์ได้ ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยหาใช่ข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้เองได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่คู่ความมีหน้าที่จะต้องนำสืบโจทก์ไม่นำสืบจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ถึงอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เกินกว่ากฎหมายกำหนดทั้งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดีการที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ในกำหนด โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3728/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข การสูญหายของรถยนต์ และความรับผิดของผู้ซื้อ/ผู้ค้ำประกัน
สัญญาซื้อขายรถยนต์ซึ่งระบุว่า กรรมสิทธิ์ของยานยนต์ที่ซื้อขายจะยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อจนกว่าผู้ซื้อจะได้ชำระราคาซื้อขายด้วยเงินสดครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเสียก่อนนั้น เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ย่อมบังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 เมื่อคู่สัญญาตกลงซื้อขายกำหนดราคากันไว้เป็นจำนวนแน่นอนและโจทก์ผู้ขายให้จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อชำระราคาในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่งแล้วให้ผ่อนชำระราคาส่วนที่เหลือเป็นงวด และมีข้อตกลงว่าหากผู้ซื้อผิดนัดชำระราคางวดใด ยอมให้ผู้ขายเรียกให้ผู้ซื้อชำระราคาที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งหมดได้ทันทีดังนี้ จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขาย เมื่อจำเลยที่ 1มิได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยผิดนัดชำระราคาตามงวดที่ได้ตกลงกันไว้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยตามข้อตกลงและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องร่วมรับผิดด้วย แม้จะปรากฏต่อมาว่าก่อนถึงกำหนดชำระราคางวดที่ 14 รถยนต์ที่ซื้อขายถูกคนร้ายลักไปโดยไม่ปรากฏว่า เป็นความผิดของโจทก์หรือจำเลยที่ 1ก็ตาม แต่ตามสัญญาซื้อขายระบุไว้ชัดว่า หน้าที่ความรับผิดของผู้ซื้อย่อมไม่หมดสิ้นไปเนื่องจากการสูญหายของยานยนต์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดชำระราคารถยนต์แก่โจทก์จนครบถ้วนเพราะข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการยกเว้นบทบัญญัติมาตรา 372 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญาย่อมตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้ ไม่เป็นโมฆะตามมาตรา 114 เบี้ยประกันภัยที่โจทก์ได้ชำระแทนไป จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระให้โจทก์เต็มจำนวนตามสัญญา แต่ในส่วนอัตราดอกเบี้ยของเงินค่าเบี้ยประกันภัยมิได้กำหนดกันไว้ในสัญญาเหมือนเช่นเงินราคาค่ารถโจทก์จึงเรียกได้เพียงในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224