คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 680

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 723 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันสมบูรณ์แม้เข้าใจผิดเรื่องทายาท ความผิดพลาดไม่กระทบสัญญาค้ำประกัน อายุความ 10 ปี
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับรองการชดใช้เงินคืนแก่ทางราชการในขณะที่จำเลยที่ 1 จะรับเงินจากโจทก์สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อดังกล่าว จึงมิใช่เป็นเพียงคำเสนอที่จะก่อให้เกิดสัญญาเมื่อมีคำสนอง เพราะขณะมีการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้รับเข้าผูกพันตนทำสัญญาค้ำประกันเสร็จไปในวันเดียวกัน สัญญาค้ำประกันจึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าการที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นมารดาของร้อยตรี ท.เพื่อขอรับเงินบำนาญพิเศษจากโจทก์ซึ่งความจริงมิได้เป็นมารดาอาจเป็นการละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ได้จ่ายเงินบำนาญพิเศษให้จำเลยที่ 1 โดยมีการทำสัญญาว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงินคืนให้แก่โจทก์นั้น ถือว่าเป็นการชดใช้เงินคืนตามสัญญาซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชดใช้เงินคืนจึงมีอายุความ10 ปีเช่นกัน การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันโดยเข้าใจผิดว่าจำเลยที่ 1ผู้ขอรับเงินบำนาญพิเศษเป็นมารดาของร้อยตรี ท. นั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใด ความเข้าใจผิดดังกล่าวมิใช่เป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งสัญญาค้ำประกันจึงไม่เป็นเหตุให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 ข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเพราะจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารฝ่ายธุรการและกำลังพล เป็นตำแหน่งที่ต้องกระทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาชดใช้เงินคืนและการค้ำประกัน, ความสำคัญผิดในสัญญาค้ำประกัน
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นมารดาของร้อยตรี ท. เพื่อขอรับเงินบำนาญพิเศษจากโจทก์ ความจริงมิได้เป็นมารดา อาจเป็นการละเมิดต่อโจทก์ แต่การที่โจทก์ได้จ่ายเงินบำนาญพิเศษให้จำเลยที่ 1 โดยมีการทำสัญญาว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยอมจะชดใช้เงินที่รับไปโดยไม่มีสิทธิหรือส่วนที่ได้รับเกินสิทธิคืนเป็นการจะชดใช้เงินคืนตามสัญญา ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่ามีอายุความเท่าใด จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชดใช้เงินดังกล่าวคืน จึงมีอายุความ 10 ปี จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1ต้องชดใช้เงินบำนาญพิเศษคืนแก่โจทก์แต่ไม่สามารถชดใช้เงินคืนได้ จำเลยที่ 2 จะชดใช้แทน จำเลยที่ 2 เข้าใจถูกต้องทุกประการที่จะยอมรับผิดต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 เข้าใจผิดว่าจำเลยที่ 1เป็นมารดาของร้อยตรี ท. มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ความเข้าใจผิดของจำเลยที่ 2 มิใช่สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งสัญญาค้ำประกัน ไม่เป็นเหตุให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ, การค้ำประกัน, การแปลงหนี้ใหม่, ความรับผิดของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาสามีจำเลยที่ 2 ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1ขอรับรถยนต์ดังกล่าวไปไว้ในครอบครอง และตกลงจะไปเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ข้อตกลงระหว่างสามีจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เพราะการแปลงหนี้ใหม่จะต้องมีการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ดังนี้ หนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์จึงยังไม่ระงับ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อคำฟ้องและคำให้การพอที่จะรับฟังและวินิจฉัยได้ การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานหลังจากที่สืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนเสร็จแล้วก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี เพราะจะอนุญาตหรือไม่ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาจำเลยที่ว่าการยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์ไม่ชอบจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ปัญหาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่ามอบอำนาจให้ ป. แต่กลับนำว. เข้ามาเบิกความโดยมิได้แก้ฟ้องหรือบรรยายฟ้องกล่าวอ้างถึงว. จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นนั้น เมื่อประเด็นนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างกันมาในศาลอุทธรณ์ เพิ่งมายกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองและค้ำประกันครอบคลุมหนี้ต่อเนื่องจากการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน แม้มีการบอกเลิกค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินไปแล้ว แต่ทางพิจารณากลับนำสืบว่าไม่มีการจ่ายเงินกัน แต่โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีแทน ดังนี้ การนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับเงินของจำเลย ไม่เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงต่างฟ้อง ไม่ต้องห้ามการนำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้วและในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน การเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน10,000,000 บาท ดังนี้ การจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นและเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท สัญญาค้ำประกันมีข้อตกลงระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกันโดยไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อฟังว่าหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินที่จำเลยค้ำประกันยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการค้าประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และโจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกแล้วแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยบอกเลิก จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนอง/ค้ำประกันครอบคลุมหนี้ต่อเนื่อง การชำระหนี้เดิมไม่ถึงแก่การระงับสิทธิของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินไปแล้ว แต่ทางพิจารณากลับนำสืบว่าไม่มีการจ่ายเงินกัน แต่โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีแทน ดังนี้ การนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับเงินของจำเลย ไม่เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงต่างฟ้อง ไม่ต้องห้ามการนำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้วและในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน การเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน10,000,000 บาท ดังนี้ การจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นและเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท
สัญญาค้ำประกันมีข้อตกลงระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกัน โดยไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อฟังว่าหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินที่จำเลยค้ำประกันยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และโจทกได้รับหนังสือบอกเลิกแล้วแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยบอกเลิก จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อยึดรถขายทอดตลาด ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ขาด
สัญญาเช่าซื้อระบุว่าเมื่อผู้ให้เช่าซื้อยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อ คืนมาและนำออกขายแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ผู้เช่าซื้อยอมรับผิด จนครบ ดังนั้นเมื่อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อขายรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ราคา ไม่ครบถ้วน จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระราคาส่วนที่ขาด อันเป็นค่าเสียหาย ส่วนหนึ่งซึ่งเกิดจากการผิดสัญญา จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันย่อมต้องร่วมรับผิดด้วย สัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันมิได้กำหนดว่ากรณีโจทก์จะขายรถยนต์เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว โจทก์จะต้องบอกกล่าวผู้เช่าซื้อ หรือผู้ค้ำประกันก่อน ทั้งไม่มีกฎหมายระบุให้โจทก์จะต้องทำเช่นนั้น แต่กลับมีข้อสัญญาระบุว่าโจทก์สามารถขายได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ซึ่งซึ่งไม่เป็นข้อที่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์จึงไม่ต้องบอกกล่าวก่อนขาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ไม่ทำให้ฟ้องไม่สมบูรณ์ สัญญาค้ำประกันมีผลผูกพันแม้ไม่บอกกล่าว
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นเอกสารที่จะต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 และตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ก็มีผลเพียงว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น แม้ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรก็ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในระหว่างที่เป็นลูกจ้างโจทก์จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวนหนึ่ง ขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เช่นนี้เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วส่วนข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อใด และค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม เหตุที่จำเลยที่ 1 ต้องทำสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องในระหว่างเป็นลูกจ้างโจทก์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นผลโดยตรงจากการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง ซึ่งตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 เข้าผูกพันตนยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1ดังกล่าว และตามสัญญาค้ำประกันก็ไม่มีข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไว้ว่า หากจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โจทก์จะต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ก่อนแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ: การตีความฐานะผู้ค้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 165(7)
การที่โจทก์จัดให้มีบริการพูดโทรศัพท์ติดต่อไปต่างประเทศและเรียกเก็บเงินค่าบริการในการพูดโทรศัพท์นั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้าในการรับทำงานต่าง ๆ และเรียกร้องเอาสินจ้างอันจะพึง ได้รับในการนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 165(7) สิทธิเรียกร้องเช่นนี้มีอายุความ 2 ปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข vs. สัญญาเช่าซื้อ: ความรับผิดของผู้ซื้อเมื่อรถยนต์สูญหาย
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ ข้อ 3 ระบุว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะตกไปอยู่แก่ผู้ซื้อเมื่อผู้ซื้อชำระราคาตามเงื่อนไขครบถ้วน ข้อ 6 ระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดขาดการชำระเงินงวดใด จำนวนใด ผู้ขายย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้ซื้อชำระราคาที่เหลืออยู่ในขณะนั้นเสียโดยครบถ้วนโดยพลันก็ได้นั้นมีสาระสำคัญแตกต่างกับสัญญาเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572,574 จึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข เมื่อในระหว่างที่ยังชำระเงินค่างวดอยู่รถยนต์ที่ซื้อขายได้สูญหายไปเพราะถูกคนร้ายลัก แม้จะไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดตามสัญญาข้อ 5 โดยจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันสัญญาดังกล่าวต้องร่วมรับผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างและผู้ค้ำประกันจากลูกจ้างประมาทเลินเล่อ และอายุความของสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในทางการที่จ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 เมื่อโจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายไปแล้ว โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้จากจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 426 และจากจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1ตามสัญญาค้ำประกัน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะได้รับชดใช้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164
of 73