คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 680

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 723 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1869/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันครอบคลุมความรับผิดจากละเมิดของลูกจ้างที่เกิดจากการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้าง
จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แก่โจทก์มีความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เข้าทำงานในองค์การโจทก์แล้ว ภายหลังได้หลบหลีกหนีหายไป หรือได้ฉ้อโกงยักยอก หรือทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ต้องสูญเสียหายไปด้วยประการใดๆ ก็ดี จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้หนี้สินหรือความเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 พนักงานขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ ได้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ในทางการที่จ้างด้วยความประมาทชน พ. ถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ตายไปแล้วโจทก์จึงชอบที่จะได้ชดใช้จากจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 แต่จำเลยที่ 1ได้หลบหนีไปและไม่ชำระหนี้สินดังกล่าวให้แก่โจทก์ดังนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ในการเข้าทำงานกับโจทก์จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1869/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันครอบคลุมความเสียหายจากความประมาทในการปฏิบัติงานของลูกจ้างที่เกิดจากละเมิด
จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แก่โจทก์มีความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เข้าทำงานในองค์การโจทก์แล้ว ภายหลังได้หลบหลีกหนีหายไป หรือได้ฉ้อโกงยักยอก หรือทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ต้องสูญเสียหายไปด้วยประการใด ๆ ก็ดี จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้หนี้สินหรือความเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 พนักงานขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ ได้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ในทางการที่จ้างด้วยความประมาทชน พ. ถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ตายไปแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะได้ชดใช้จากจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 แต่จำเลยที่ 1 ได้หลบหนีไปและไม่ชำระหนี้สินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ดังนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ในการเข้าทำงานกับโจทก์จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1598/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน, ข้อจำกัดทุนทรัพย์, เหตุสุดวิสัย, การผิดสัญญา, หน้าที่ตามสัญญา
แม้โจทก์ฟ้องกำหนดจำนวนทุนทรัพย์มา 100,000 บาท แต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยทำสัญญาค้ำประกันคนต่างด้าว 2 ราย ซึ่งเรียกว่าลูกประกันโดยแยกทำสัญญารายละฉบับ มีข้อสัญญาว่าถ้าจำเลยผิดสัญญาแต่ละรายยอมให้ปรับรายละ 50,000 บาท ทุนทรัพย์ในคดีจึงแยกออกตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ คือฉบับละ 50,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันและกำหนดค่าปรับรวมกันมา 60,000 บาท ก็ยังถือได้ว่ากำหนดค่าปรับในวงเงินตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ ไม่เกินฉบับละ 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 (อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2524)
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยส่งลูกประกันออกไปนอกราชอาณาจักรไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องจากในระยะเวลาที่เกิดเหตุประเทศไทยไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชา ซึ่งลูกประกันมีสัญชาตินั้น ปรากฏว่าหน้าที่ของจำเลยที่ต้องจัดการให้ลูกประกันออกไปเสียจากราชอาณาจักรก็มิได้กำหนดในสัญญาว่าต้องส่งกลับประเทศภูมิลำเนา ดังนั้นเพียงแต่ให้ออกไปนอกราชอาณาจักรก็เป็นการเพียงพอแล้วอีกทั้งเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาก็ล่วงเลยระยะเวลาที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาขาดความสัมพันธ์ทางการทูตกันแล้ว จำเลยจึงสามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีไม่เป็นเหตุสุดวิสัยดังที่จำเลยอ้าง นอกจากนี้เหตุสุดวิสัยที่จะอ้างเพื่อให้หลุดพ้นไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 219 นั้นจะต้องเป็นเหตุซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ทำสัญญาด้วย ดังนั้น การที่จำเลยยังคงทำสัญญาค้ำประกันลูกประกันดังกล่าวทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าประเทศไทยและประเทศกัมพูชาไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน และพฤติการณ์ที่จำเลยไม่จัดการให้ลูกประกันออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1598/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันคนต่างด้าว, เหตุสุดวิสัย, การผิดสัญญา, วงเงินค่าปรับ, การห้ามฎีกา
แม้โจทก์ฟ้องกำหนดจำนวนทุนทรัพย์มา 100,000 บาท แต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยทำสัญญาค้ำประกันคนต่างด้าว 2 ราย ซึ่งเรียกว่าลูกประกันโดยแยกทำสัญญารายละฉบับ มีข้อสัญญาว่าถ้าจำเลยผิดสัญญาแต่ละรายยอมให้ปรับรายละ 50,000 บาททุนทรัพย์ในคดีจึงแยกออกตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ คือฉบับละ 50,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันและกำหนดค่าปรับรวมกันมา60,000 บาท ก็ยังถือได้ว่ากำหนดค่าปรับในวงเงินตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ ไม่เกินฉบับละ 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248(อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2524)
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยส่งลูกประกันออกไปนอกราชอาณาจักรไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องจากในระยะเวลาที่เกิดเหตุประเทศไทยไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชา ซึ่งลูกประกันมีสัญชาตินั้น ปรากฏว่าหน้าที่ของจำเลยที่ต้องจัดการให้ลูกประกันออกไปเสียจากราชอาณาจักรก็มิได้กำหนดในสัญญาว่าต้องส่งกลับประเทศภูมิลำเนา ดังนั้นเพียงแต่ให้ออกไปนอกราชอาณาจักรก็เป็นการเพียงพอแล้วอีกทั้งเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาก็ล่วงเลยระยะเวลาที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาขาดความสัมพันธ์ทางการทูตกันแล้ว จำเลยจึงสามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีไม่เป็นเหตุสุดวิสัยดังที่จำเลยอ้าง นอกจากนี้เหตุสุดวิสัยที่จะอ้างเพื่อให้หลุดพ้นไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 นั้นจะต้องเป็นเหตุซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ทำสัญญาด้วย ดังนั้นการที่จำเลยยังคงทำสัญญาค้ำประกันลูกประกันดังกล่าวทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าประเทศไทยและประเทศกัมพูชาไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน และพฤติการณ์ที่จำเลยไม่จัดการให้ลูกประกันออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี, การบอกเลิกสัญญา, ดอกเบี้ยทบต้น, และขอบเขตความรับผิดของสัญญาค้ำประกัน/จำนอง
โจทก์ให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งเพื่อหักกลบลบหนี้กัน ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด
การที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยนำเงินส่งเข้าบัญชีเพื่อลดยอดเงินที่เบิกเกินบัญชีทั้งหมดภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือมิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีแก่จำเลย เช่นนี้ เป็นการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยมีผลให้สัญญาเลิกกันเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือแล้ว หลังจากสัญญาเลิกกันแล้วธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้ คงคิดดอกเบี้ยโดยวิธีธรรมดาได้เท่านั้น
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่1 ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ในวงเงินสองแสนบาท ในสัญญาค้ำประกันข้อ 6 ระบุไว้ว่า จำเลยที่2 จะจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 94029 เป็นประกัน แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 ก็ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์โดยระบุในสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่าเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่เป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินไม่เกินสองแสน บาท ดังนี้ทั้งสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองต่างเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ในวงเงินสองแสนบาทรายเดียวกัน หาใช่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นผู้ค้ำประกันฐานะหนึ่ง และต้องรับผิดตามสัญญาจำนองอีกฐานะหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเลิกแล้ว คิดดอกเบี้ยธรรมดา, ผู้ค้ำประกัน/จำนองรับผิดเฉพาะวงเงินที่ระบุ
โจทก์ให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งเพื่อหักกลบลบหนี้กัน ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด
การที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยนำเงินส่งเข้าบัญชีเพื่อลดยอดเงินที่เบิกเกินบัญชีทั้งหมดภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือ มิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีแก่จำเลย เช่นนี้ เป็นการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยมีผลให้สัญญาเลิกกันเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือแล้ว หลังจากสัญญาเลิกกันแล้วธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้ คงคิดดอกเบี้ยโดยวิธีธรรมดาได้เท่านั้น
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่1ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ในวงเงินสองแสนบาท ในสัญญาค้ำประกันข้อ 6 ระบุไว้ว่า จำเลยที่ 2 จะจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 94029 เป็นประกัน แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 ก็ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์โดยระบุในสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่าเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่เป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินไม่เกินสองแสน บาท ดังนี้ทั้งสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองต่างเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ในวงเงินสองแสนบาทรายเดียวกัน หาใช่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นผู้ค้ำประกันฐานะหนึ่ง และต้องรับผิดตามสัญญาจำนองอีกฐานะหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันครอบคลุมความเสียหายจากเจ้าหน้าที่ทุกตำแหน่ง การวินิจฉัยนอกประเด็นและแปลงหนี้
ประเด็นแห่งคดีมีว่า สหกรณ์โจทก์รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ากรรมการของโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้ โดยจำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์เป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. ม.575 โจทก์และจำเลยที่ 1ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ต่อกันในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างคำสั่งเลื่อนตำแหน่งหน้าที่จำเลยที่ 1 ของโจทก์ จึงมิใช่เรื่องแปลงหนี้ใหม่ สัญญาจ้างเดิมมิได้ระงับไป
สัญญาค้ำประกันมีข้อความชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชอบในความเสียหายหรือหนี้สินที่จำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ก่อขึ้นไม่ว่าด้วยเหตุใดๆมิได้ระบุว่าจะรับผิดชอบขณะที่จำเลยเป็นเสมียนเท่านั้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการ ก็ต้องถือว่ายังเป็นเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์โจทก์อยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3944/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีค้ำประกัน - ไม่ปรากฏกฎหมายกำหนดใช้ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
การฟ้องให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3944/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาค้ำประกัน: 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 แม้มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความโดยเฉพาะ
การฟ้องให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องและสิทธิไล่เบี้ยในสัญญาเช่าซื้อ: ผู้รับภาระมีสิทธิไล่เบี้ยจากผู้เช่าซื้อเมื่อชำระหนี้แทน
เดิมจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทจากโจทก์ ต่อมาโจทก์ขายรถพิพาทให้แก่บริษัท ค. โดยให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัท ค.โดยให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทค.และโจทก์ทำหนังสือสัญญารับภาระไว้ต่อบริษัท ค. ว่า หากจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามงวด โจทก์จะติดตามเรียกเก็บให้และจะจ่ายเงินแทนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปก่อน หากผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโจทก์ต้องมีหน้าที่ติดตามยึดรถและรับซื้อรถคืนในราคาที่จำเลยค้างชำระ ดังนี้โจทก์จึงมีส่วนได้เสียด้วยในสัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับบริษัท ค. โดยมีความผูกพันเพื่อจำเลยในอันจะต้องใช้หนี้และมีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น เมื่อบริษัทค. บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและโจทก์ต้องชำระเงินให้บริษัทค. ไป โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้
สัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับบริษัท ค. ข้อ 8 มีความว่าในกรณีบอกเลิกสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อกลับเข้าครองทรัพย์สินจำเลยจะต้องจ่ายค่าซ่อมรถพร้อมทั้งอุปกรณ์และอะไหล่ทั้งปวงเพื่อซ่อมรถให้กลับคืนสู่สภาพดี เช่นนี้ เมื่อโจทก์ซื้อรถคืนและต้องเสียเงินซ่อมรถ โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยค่าซ่อมรถนอกเหนือไปจากค่าเสียหายในการที่จำเลยใช้รถพิพาทในระหว่างผิดสัญญาเช่าซื้ออีกด้วย
of 73