คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 680

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 723 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2099/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการชำระหนี้ค่าระวางเรือและค่าเสียเวลาเรือตามหนังสือสั่งจ่าย มิสร้างความผูกพันระหว่างผู้รับเงินกับเจ้าหนี้
ธนาคาร ค.เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้ธนาคารจำเลยที่ 2 จ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ความว่า ขอให้ออกหนังสือถึงตัวแทนโจทก์เพื่อยืนยันว่า เมื่อโจทก์บรรทุกสินค้าลงเรือแล้วจะได้ชำระค่าระวางบรรทุกให้แก่ตัวแทนโจทก์ผู้ขนส่ง จำเลยที่ 2 ได้บันทึกความท้ายหนังสือไว้ว่า จำเลยที่ 2 ขอตอบรับหนังสือของจำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ขอให้จัดการจ่ายค่าระวางเรือ และหักเงินสำรองไว้จ่ายค่าเสียเวลาเรือ แต่ให้จ่ายต่อเมื่อตัวแทนโจทก์นำใบเสร็จรับเงินมาเก็บจากจำเลยที่ 2 ส่วนเงินที่เหลือให้นำเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ดังนี้ ความในหนังสือดังกล่าวมิให้เป็นสัญญาที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ให้กับโจทก์ หรือมีการให้สัญญาไว้กับโจทก์หากว่าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ค่าระวางเรือและค่าเสียเวลาเรือให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบเกี่ยวแก่การจัดการชำระเงินค่าระวางบรรทุกและค่าเสียเวลาหรือให้กับตัวแทนของโจทก์ประการใดบ้างเท่านั้น ถึงแม้จำเลยที่ 2 จะทราบว่าโจทก์ได้ทราบความหนังสือที่จำเลยที่ 1 มีถึงจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็หามีหน้าที่ต่อโจทก์ไม่ การที่จำเลยที่ 2 โอนเงินค่าเสียเวลาเรือเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ในเวลาต่อมานั้น ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบชำระเงินดังกล่าวต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2099/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ค่าระวางเรือและค่าเสียเวลาเรือ: ธนาคารไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหนี้ของผู้อื่น
ธนาคาร ด. เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้ธนาคารจำเลยที่ 2 จ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ความว่า ขอให้ออกหนังสือถึงตัวแทนโจทก์เพื่อยืนยันว่า เมื่อโจทก์บรรทุกสินค้าลงเรือแล้วจะได้ชำระค่าระวางบรรทุกให้แก่ตัวแทนโจทก์ผู้ขนส่งจำเลยที่ 2 ได้บันทึกความท้ายหนังสือไว้ว่า จำเลยที่ 2 ขอตอบรับหนังสือของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ขอให้จัดการจ่ายค่าระวางเรือ และหักเงินสำรองไว้จ่ายค่าเสียเวลาเรือ แต่ให้จ่ายต่อเมื่อตัวแทนโจทก์นำใบเสร็จรับเงินมาเก็บจากจำเลยที่ 2 ส่วนเงินที่เหลือให้นำเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ดังนี้ ความในหนังสือดังกล่าวมิได้เป็นสัญญาที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ให้กับโจทก์ หรือมีการให้สัญญาไว้กับโจทก์ว่าหากว่าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ค่าระวางเรือและค่าเสียเวลาเรือให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบเกี่ยวแก่การจัดการชำระเงินค่าระวางบรรทุกและค่าเสียเวลาเรือให้กับตัวแทนของโจทก์ประการใดบ้างเท่านั้น ถึงแม้จำเลยที่ 2 จะทราบว่าโจทก์ได้ทราบความตามหนังสือที่จำเลยที่ 1 มีถึงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็หามีหน้าที่ต่อโจทก์ไม่ การที่จำเลยที่ 2 โอนเงินค่าเสียเวลาเรือไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ในเวลาต่อมานั้น ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันตามคำพิพากษา: เมื่อจำเลยคนหนึ่งพ้นจากหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันไม่มีอำนาจฟ้องให้ร่วมรับผิด
โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองในการขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวยังคงเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน แม้โจทก์ชำระหนี้แทนไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันตามคำพิพากษา: เมื่อจำเลยคนหนึ่งพ้นจากหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยอีกคนร่วมรับผิด
โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองในการขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวคงยังเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน แม้โจทก์ชำระหนี้แทนไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันที่ไม่มีอากรแสตมป์ใช้บังคับไม่ได้ แม้โจทก์เป็นหน่วยงานราชการ
แม้โจทก์จะเป็นกรมในรัฐบาล ก็ไม่มีกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญาค้ำประกัน หนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างไม่ติดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 โจทก์จึงบังคับจำเลยให้ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือสัญญาค้ำประกันที่ไม่มีอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แม้โจทก์เป็นหน่วยงานราชการ
แม้โจทก์จะเป็นกรมในรัฐบาล ก็ไม่มีกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญาค้ำประกัน หนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างไม่ได้ติดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์จึงบังคับจำเลยให้ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือค้ำประกันไม่ใช่เงินมัดจำ การชำระเงินโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องคืนไม่ได้ และไม่มีสิทธิไล่เบี้ย
โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้กับผู้ว่าจ้างแทนการที่จำเลยที่ 1 จะต้องวางเงินมัดจำในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างเหมาทำการก่อสร้างอาคารให้ผู้ว่าจ้าง หนังสือค้ำประกันดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาที่โจทก์ผูกพันต่อผู้ว่าจ้างเพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและไม่ชำระหนี้เท่านั้น โจทก์มิได้วางเงินตามหนังสือค้ำประกันให้ไว้ต่อผู้ว่าจ้างขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับผู้ว่าจ้างหนังสือค้ำประกันจึงมิใช่มัดจำ และเมื่อตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างไม่มีข้อความให้ผู้ว่าจ้างริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน ผู้ว่าจ้างจึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1722/2513)
เมื่อผู้ว่าจ้างแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และสั่งริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน กับให้โจทก์ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระโจทก์ย่อมสามารถตรวจดูสำเนาสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 มอบให้ไว้ และทราบได้ว่าผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน แม้ตามหนังสือค้ำประกันโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างแต่ผู้ว่าจ้างก็มิได้เรียกร้องให้โจทก์ส่งเงินไปเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ส่งเงินไปชำระตามข้อเรียกร้องของผู้ว่าจ้าง ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระเงินให้ผู้ว่าจ้างไปโดยจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไม่มีหน้าที่ต้องชำระและทั้งๆ ที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ทักท้วงแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ และจากจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกัน - สัญญาที่ถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับความยินยอม - ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
มีผู้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันให้สูงขึ้นโดยจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่รู้เห็นยินยอมด้วยสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันนั้นหาเสียไปทั้งฉบับเพราะการปลอมแปลงดังกล่าวไม่จำเลยต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่แท้จริงที่ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเพื่อประโยชน์บุคคลที่สาม: สิทธิเรียกร้องของบุคคลภายนอก & ผลบังคับของสัญญา
จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการติดตั้งไฟฟ้าที่จำเลยที่ 1 รับเป็นผู้จัดทำให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี ซึ่งเป็นหน่วยราชการของกองทัพเรือสหรัฐ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการรับจ้างทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี มีข้อความด้วยว่า 'และถ้าหากว่าตัวการ (จำเลยที่ 1) จะต้องจ่ายเงินให้กับบุคคลใดๆ อันเป็นบุคคลที่สามโดยทันทีเพื่อค่าอุปกรณ์ค่าแรงงาน หรือค่าวัสดุเพื่อการดำเนินการในสัญญาตามสัญญานั้น และโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้ำประกันทราบ หนังสือฉบับนี้ยังคงให้มีผลบังคับและให้มีอำนาจบังคับได้ และจะสิ้นผลบังคับเมื่อตัวการ (จำเลยที่ 1) ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องทุกประการแล้ว' ข้อกำหนดนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญานี้ได้
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันไม่มีระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมเลยไปถึงบุคคลที่สามก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญามีข้อความผูกพันตนต่อโอ.ไอ.ซี.ซี เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม ในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้กับบุคคลนั้นสัญญาดังกล่าวนี้ก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใดจึงมีผลบังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่
เมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์ ศาลก็ย่อมรับฟังสัญญาค้ำประกันนั้นได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบหนี้ต่อบุคคลภายนอกได้
จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการติดตั้งไฟฟ้าที่จำเลยที่ 1 รับเป็นผู้จัดการให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี.ซึ่งเป็นหน่วยราชการของกองทัพเรือสหรัฐ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการรับจ้างทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี.มีข้อความด้วยว่า "และถ้าหากว่าตัวการ (จำเลยที่1) จะต้องจ่ายเงินให้กับบุคลลใด ๆ อันเป็นบุคคลที่สามโดยทันทีเพื่อค่าอุปกรณ์ ค่าแรงงาน หรือค่าวัสดุเพื่อการดำเนินการในสัญญาตามสัญญานั้น และโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้ำประกันทราบ หนังสือฉบับนี้ยังคงให้มีผลบังคับและให้มีอำนาจบังคับได้และจะสิ้นผลบังคับเมื่อตัวการ (จำเลยที่ 1) ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องทุกประการแล้ว" ข้อกำหนดนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างจ้างให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญานี้ได้
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันไม่มีระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมเลยไปถึง บุคคลที่สามก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญามีข้อความผูกพันตนต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี. เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลที่สามในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้กับบุคคลนั้นสัญญาดังกล่าวนี้ก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่ อย่างใดจึงมีผลบังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่
เมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์ศาลก็ย่อมรับฟังสัญญาค้ำประกันนั้นได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก
of 73