คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 850

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,234 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าซ่อมรถยนต์จากการประกันภัย แม้มีข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายอื่นแล้ว
แม้ข้อตกลงระหว่างพันจ่าอากาศเอก ส. กับจำเลยตามรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันจะมีใจความว่า พันจ่าอากาศเอก ส. ได้เรียกร้องค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาลตัวเองและของภรรยาเป็นเงินรวม 27,500 บาทและไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอื่นใดอีกต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญาก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อความอีกว่า สำหรับรถยนต์ของพันจ่าอากาศเอก ส. นั้นคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะไปทำการเจรจากันในภายหลังต่อไป แสดงว่าคู่กรณีเจตนาแยกการเรียกค่าเสียหายจากการซ่อมแซมรถยนต์ออกจากค่าเสียหายจำนวน 27,500 บาท พันจ่าอากาศเอกส. จึงไม่สูญสิทธิที่จะเรียกร้องค่าซ่อมแซมรถยนต์ในภายหลังเมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยรถยนต์ของพันจ่าอากาศเอก ส. ได้นำรถยนต์ดังกล่าวไปซ่อมแซมและชำระค่าซ่อมแซมแล้ว โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของพันจ่าอากาศเอก ส. ในอันทีจะเรียกร้องเงินค่าซ่อมแซมรถยนต์จากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายจากการทำร้ายร่างกายและการยินยอมให้ถอนเงินร่วม ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกาย ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์จำเลยตกลงกัน ศาลได้บันทึกข้อตกลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า "จำเลยรับว่าได้ทำร้ายร่างกายโจทก์จริง โจทก์ว่าเมื่อจำเลยรับแล้ว ก็ไม่ติดใจจะว่ากล่าวกับจำเลย เงินในบัญชีธนาคารซึ่งใส่ชื่อร่วมกันอยู่ จำเลยจะคืนให้โจทก์และจะให้อีก400,000 บาท โดยจะชำระให้ภายใน 6 เดือนแรก 200,000 บาท ที่เหลือภายใน 6 เดือนหลัง นอกจากข้อตกลงนี้แล้วคู่ความไม่ติดใจเรียกร้องอะไรต่อกัน โจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่ค้านจำหน่ายคดี" ดังนี้บันทึกข้อตกลงดังกล่าวที่โจทก์ไม่ติดใจว่ากล่าวกับจำเลยเพราะจำเลยรับว่าได้ทำร้ายโจทก์ ไม่มีเงื่อนไขหรือมีความหมายว่าจำเลยจะให้เงินโจทก์เมื่อโจทก์ถอนฟ้อง และเป็นบันทึกข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอันจะเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 และมิได้เป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาโดยตรง ซึ่งจำเลยมีสิทธิบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1469 บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2696/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยการทำข้อตกลงหลังพ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ทำความผิด เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประเภทต่าง ๆ ได้ โจทก์ได้ยื่นใบขอรับเงินเมื่อออกจากงานเรียกร้องเอาเฉพาะค่าชดเชย เงินเดือนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินโบนัสและเงินบำเหน็จมิได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโดยระบุข้อความตอนท้ายว่าไม่ติดใจที่จะเรียกร้องเงิน สิทธิและประโยชน์อื่นใดจากจำเลยอีก ข้อความในเอกสารที่โจทก์ลงลายมือชื่อให้ไว้แก่จำเลยดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินประเภทอื่นอันจะพึงได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของจำเลย รวมทั้งสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหาย เนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลระงับการบังคับคดีตามคำพิพากษาเดิม หากจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญา
คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน 9 ส่วนใน 21 ส่วน ในระหว่างบังคับคดีโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่. (อ้าง ฎีกา 626/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลระงับสิทธิเดิม การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงสิ้นสุดลง
คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน 9 ส่วนใน 21 ส่วน ในระหว่างบังคับคดีโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไปโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ: ยุติบังคับคดีและสร้างสิทธิใหม่
คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน 9 ส่วนใน 21 ส่วน ในระหว่างบังคับคดีโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่.(อ้าง ฎีกา 626/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องขัดทรัพย์สินสมรสและการเพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉล ผู้ร้องต้องฟ้องเพิกถอนก่อนจึงจะขอปล่อยทรัพย์ได้
การขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ดังกล่าว การที่ผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยผู้ร้องกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกัน ผู้ร้องหามีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไม่ และที่ผู้ร้องอ้างว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย เป็นนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากเป็นดังข้ออ้าง ผู้ร้องก็จะต้องฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลนั้นเสียก่อน จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนในคดีซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความหาได้ไม่
คดีร้องขัดทรัพย์ จำเลยจะเข้ามาในคดีหรือไม่ก็ได้เมื่อเข้ามาแล้ว จำเลยก็มีฐานะเป็นคู่ความ มีสิทธิได้ค่าฤชาธรรมเนียม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ชอบ ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ในกรณีเรือยนต์หางยาวรับจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จมลงทำให้มารดา พี่สาว และบุตรโจทก์ซึ่งโดยสารเรือมาด้วยจมน้ำตาย แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ดังนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขับเรือยนต์หางยาวไปในทางการที่จ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่สมบูรณ์ การรับผิดในละเมิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง
จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ในกรณีเรือยนต์หางยาวรับจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 จมลงทำให้มารดา พี่สาว และบุตรโจทก์ซึ่งโดยสารเรือมาด้วยจมน้ำตาย แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขับเรือยนต์หางยาวไปในทางการที่จ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ชอบ ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับผิดได้
จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ในกรณีเรือยนต์หางยาวรับจ้างของจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 จมลงทำให้มารดา พี่สาว และบุตรโจทก์ซึ่งโดยสารเรือมาด้วยจมน้ำตาย แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ดังนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขับเรือยนต์หางยาวไปในทางการที่จ้างได้.
of 124