พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,234 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3359/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากสัญญาประนีประนอม หากไม่จดทะเบียนมีผลบังคับใช้ได้เพียง 3 ปี
บิดาโจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลย แล้วตกลงประนีประนอมกันโดยบิดาโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทมีกำหนด 5 ปี และบิดาโจทก์ถอนฟ้อง ศาลอนุญาตตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาล สัญญาประนีประนอมตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537ระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยด้วย เมื่อบิดาโจทก์ตายที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของบิดาโจทก์ที่มีต่อจำเลย แต่ที่บิดาโจทก์กับจำเลยตกลงกันศาลมิได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษใด ๆนอกเหนือจากสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป เมื่อมิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาเช่าจึงมีผลบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3359/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากการประนีประนอมยอมความ การบังคับใช้ และระยะเวลา
บิดาโจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลย แล้วตกลงประนีประนอมกันโดยบิดาโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาทมีกำหนด 5 ปี และบิดาโจทก์ถอนฟ้อง ศาลอนุญาตตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาล สัญญาประนีประนอมตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 ระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยด้วย เมื่อบิดาโจทก์ตายที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของบิดาโจทก์ที่มีต่อจำเลย แต่ที่บิดาโจทก์กับจำเลยตกลงกันศาลมิได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษใด ๆ นอกเหนือจากสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป เมื่อมิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาเช่าจึงมีผลบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งกรรมสิทธิ์รวม และผลบังคับใช้กับจำเลยอื่น
โจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาท การกำหนดลงไปในเอกสารรวมสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใด ย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไป เพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียง แย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่าง รังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่า มีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นย่อมจะนำช่าง รังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้ และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอน เอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้เพราะขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งที่ดิน: ผลผูกพันและขอบเขตการบังคับใช้ตามฟ้องแย้ง
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2แปลงที่ 2ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรวม: ผลผูกพันและการบังคับตามสัญญา
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2 แปลงที่ 2 ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วย เมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2968/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ หรือสัญญาสงวนสิทธิ แต่เป็นข้อตกลงชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นเพียงหลักฐานแห่งการสงวนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ในมูลหนี้เดิมเท่านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ และหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ทั้งหมดว่าจะชำระเมื่อใด หากผิดนัดจะคิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าใด จำเลยไม่มีสิทธิอันใด ที่ยอมผ่อนผันให้โจทก์ จึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตัวแทนโดยมิได้อาศัยหนังสือรับสภาพหนี้เป็นหลัก การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงยังไม่ถูกต้องโดยที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1และร่วมรับผิดในหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจจะพิพากษาถึงความรับผิดในอัตราดอกเบี้ยให้มีผลบังคับแก่จำเลยที่ 2ถึงที่ 5 ที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2765/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประนีประนอมยอมความในการแบ่งมรดก: การสละสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งมรดกโดยแลกกับทรัพย์สิน
หนังสือซึ่งบิดาโจทก์ในฐานะทายาททำให้ผู้จัดการมรดกไว้มีข้อความว่าผู้จัดการมรดกตกลงยกปั๊มน้ำมันซึ่งลงทุนก่อสร้างด้วยทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกให้เป็นสิทธิดำเนินการของบิดาโจทก์และจะได้โอนสิทธิการเช่าที่ดินที่ตั้งปั๊มน้ำมันให้แก่บิดาโจทก์ด้วยบิดาโจทก์พอใจทรัพย์สินที่ได้รับส่วนแบ่ง และไม่ติดใจจะเรียกร้องเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไปขอสละสิทธิส่วนของมรดกทุกอย่าง ดังนี้ เมื่อบิดาโจทก์เข้าดำเนินกิจการปั๊มน้ำมันแล้ว แม้จะไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสาระสำคัญข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันคู่สัญญา และเป็นการประนีประนอมยอมความในการแบ่งปันทรัพย์มรดกย่อมมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850,852 และ 1750 โจทก์ผู้เป็นทายาทของบิดาโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2765/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งมรดกมีผลผูกพัน แม้ยังมิได้โอนทรัพย์สินทั้งหมด
พ.ทายาทของส. เจ้ามรดกตกลงรับมอบปั๊มน้ำมันอันเป็นทรัพย์มรดกจากผู้จัดการมรดกเพื่อดำเนินกิจการเรียบร้อยแล้ว โดยในข้อตกลง พ. ไม่ติดใจจะเรียกร้องหรือเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของส. อีกต่อไป ดังนี้ แม้ผู้จัดการมรดกจะยังมิได้โอนปั๊มน้ำมันและสิทธิการเช่า ให้แก่ พ. ก็หาใช่เป็นสาระสำคัญของข้อตกลงไม่เพราะถือว่า พ. เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกแล้ว ภายหลัง พ. ถึงแก่กรรมโจทก์ผู้เป็นทายาทของพ.ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของส. อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2765/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประนีประนอมยอมความแบ่งมรดก: การสละสิทธิและผลผูกพันตามกฎหมาย
หนังสือซึ่งบิดาโจทก์ในฐานะทายาททำให้ผู้จัดการมรดกไว้มีข้อความว่าผู้จัดการมรดกตกลงยกปั๊มน้ำมันซึ่งลงทุนก่อสร้างด้วยทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกให้เป็นสิทธิดำเนินการของบิดาโจทก์ และจะได้โอนสิทธิการเช่าที่ดินที่ตั้งปั๊มน้ำมันให้แก่บิดาโจทก์ด้วยบิดาโจทก์พอใจทรัพย์สินที่ได้รับส่วนแบ่ง และไม่ติดใจจะเรียกร้องเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไปขอสละสิทธิส่วนของมรดกทุกอย่าง ดังนี้ เมื่อบิดาโจทก์เข้าดำเนินกิจการปั๊มน้ำมันแล้ว แม้จะไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสาระสำคัญข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันคู่สัญญา และเป็นการประนีประนอมยอมความในการแบ่งปันทรัพย์มรดก ย่อมมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 852 และ 1750 โจทก์ผู้เป็นทายาทของบิดาโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2726/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างแรงงานกำหนดอายุพ้นหน้าที่ ศาลฎีกายืนตามสัญญา ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า ศาลฎีกาพิพากษายืน เมื่อสัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยข้อ 3 กำหนดว่าลูกจ้างจะต้องพ้นหน้าที่เมื่อมีอายุ 30 ปีบริบูรณ์ กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับตามความในข้อ 3 ของสัญญาจ้างดังกล่าวอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างด้วย จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2529 โจทก์มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์วันที่ 23 เมษายน 2529 ในชั้นบังคับคดี ขณะนั้นโจทก์มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว จำเลยได้มีคำสั่งที่ 08/2530 ให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2529 ถึงวันที่โจทก์มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์ กับได้จ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยนำมาวางศาลดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนและถูกต้องแล้ว การบังคับคดีเป็นอันสิ้นสุด ที่โจทก์จำเลยได้ทำข้อตกลงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นเรื่องนอกเหนือจากคำพิพากษา ไม่อาจนำมาบังคับในคดีนี้ได้.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 397/2524)